บท
ตั้งค่า

บทที่ 5

เมื่อมาถึงลำธารที่เกิดขึ้นด้วยหิมะที่ละลายลง บริกก็หยุดม้าปล่อยให้มันดื่มน้ำ เขากวาดสายตาไกลขึ้นไปจนถึงยอดเขา บางทีถ้าตลาดค้าแกะสามารถรวมตัวกันได้ เช่นเดียวกับกิจการค้าขนแกะของจ๊อคโคแล้ว เขาก็อาจจะฟื้นคืนจากที่ต้องสูญเสียปศุสัตว์ให้กับการล้มตายในครั้งนี้ได้ แต่ดูๆไปแล้วยังมองไม่เห็นหนทางเท่าไรนัก

เขาตวัดสายตากลับมายังทุ่งหญ้าอันไพศาล ซึ่งมีทิวเขาขวางกั้นตระหง่านอยู่อีกด้านหนึ่ง มีความเคลื่อนไหวของอะไรบางอย่างปรากฏขึ้น ซึ่งทำให้เขาต้องจับตามองและเมื่อเพ่งสายตาให้มองเห็นชัดขึ้น เขาก็พบว่าที่กำลังและเล็มหญ้าอยู่ใกล้โขดหินใหญ่นั้น มองเห็นได้ชัดว่าเป็นสัตว์ใหญ่ ที่เมื่อมันเงยหน้าขึ้น บริกก็มองเห็นเขาโค้งแข็งแกร่งที่ตระหง่านอยู่เหนือหูทั้งสองข้าง

“โอโฮ..นี่มันแกะบิ๊กฮอร์นนี่..!” เขาร้องออกมา “แล้วมันมาทำอะไรอยู่บนนี้วะ?”

เจ้าม้าตัวที่เขาขี่มาตลอด สลัดหัวของมันอยู่ไปมาราวจะช่วยตอบคำถามนั้น เสียงเครื่องหนังและส่วนประกอบที่เป็นเหล็กสะบัดกราวเป็นเสียงเดียวกัน แวบนั้น เจ้าแกะบิ๊กฮอร์น ทียืนผงาดอยู่เหนือเนินผา จนมองเห็นแนวสีขาวใต้ท้องของมัน ก็กระโดดถลันออกจากที่ซึ่งกำลังยืนอยู่ โดยถลาขึ้นไปบนชะง่อนหินที่สูงกว่า กีบเท้าที่มั่นคงแข็งแรงของมันตะปบลงบนโขดหินอย่างแม่นยำ ดึงร่างของมันให้ลอยสูงขึ้นสู่ที่ ซึ่งน่าจะปลอดภัยกว่าทันที

บริกจ้องมองภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า จนแกะบิ๊กฮอร์นตัวนั้นหายลับไปจากสายตาแล้ว จึงได้เดินม้าข้ามลำธารนั้นต่อไป เขาของแกะตัวนั้นขมวดโค้งเป็นวงได้สัดส่วนและสวยงามกว่าตัวไหนๆที่เขาเคยพบเห็นมา แต่บริกไม่ได้สนใจในสิ่งนั้น ปีหนึ่งๆเขาจะฆ่ากวางเอลค์ลงสักสักตัวหรือ 2 ตัว แต่ก็เพียงเพราะต้องการเนื้อของมันเป็นอาหารเท่านั้น บางครั้งบางคราวอาจจะมีกวางเดียร์บ้าง เมื่อประมาณ 2 ปีที่ผ่านมา ชีวิตของเจ้าหมีดำตัวหนึ่งก็จบสิ้นลงและหนังของมันก็กลายเป็นเครื่องประดับห้องที่บ้านไร่ไป การที่จะฆ่าแกะเพราะต้องการเขานั้น ดูไม่ใช่เหตุผลที่เพียงพอสำหรับบริก ในชีวิตเขาอาจจะเคยฆ่ามานักต่อนัก แต่ก็ยังมองไม่เห็นว่า มันจะเป็นกีฬาที่น่าสนุกตรงไหo

น่าขันนัก ที่เขาไม่เคยนึกถึงช่วงชีวิตหนึ่งของตนมาเป็นเวลานานปีแล้ว ดูเหมือนมันจะเป็นอีกด้านหนึ่งของชีวิตเอาเสียจริงๆ ชีวิตบนแผ่นดินไอดาโฮแห่งนี้ เหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น ดูจะเป็นความทรงจำที่ลางเลือนแล้ว ราวกับมันเป็นด้านผิดของชีวิตวัย 30 ปีฉะนั้น

ม้ายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆเหมือนไร้จุดหมายปลายทาง กิ่งไม้เตี้ยๆระอยู่กับหมวกของบริก แต่เขาก็หลบได้ทัน เขาหยุดม้าอีกครั้งหนึ่ง สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ มุมปากด้านหนึ่งขมวดหายเข้าไปในระหว่างไรหนวด เวลาได้ล่วงเลยมาสัก 10 ปีเห็นจะได้ ที่เขาได้ทำในสิ่งที่มากกว่าการออกสำรวจปศุสัตว์ในครั้งนี้

เขาใช้เวลาประมาณ 1 นาที เพื่อจัดการกับตัวเองแล้วจึงได้กระตุ้นม้าให้มุ่งตรงไปทางด้านขวามือ ห่างออกไปประมาณ 100 หลา มีหินดำที่กองพูนอยู่คล้ายจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ตรงนั้นเป็นละเมาะไม้ที่แน่นทึบ ม้าย่ำเบาๆลงไปบนฝอยใบสนที่หล่นทับถมกันลงมา บริกคู้ตัวลงกับหลังม้า เพื่อหลบเลี่ยงกิ่งไม้ที่อาจจะกวาดเขาลงจากหลังม้าได้ เมื่อเดินม้าลึกเข้าไปในละเมาะไม้ที่แน่นทึบนั้นแล้ว เขาก็ลงจากหลังม้าตรงลานโล่งแคบๆ แต่ยังคงเดินจูงม้าที่มีท่าทีแปลกใจต่อไปเรื่อยๆ เจ้าม้าส่ายจมูกพิสูจย์กลิ่นในอากาศรอบๆตัวอยู่ไปมา

ภายใต้เถาองุ่นที่พาดพันไปทั่วและใต้พุ่มพฤกษ์นั้นเอง คือซากของเครื่องบินลำหนึ่งซึ่งตกลงตรงนั้น ในฤดูร้อนปีที่บริกเพิ่งอายุได้เพียง 9 ขวบ เขากวาดสายตาไปตามก้อนหินกองเล็กๆที่ยังพอจะมองเห็นได้ มันยังดูเป็นกองพูนอยู่อย่างนั้น เป็นก้อนหินที่เขาขุดและโกยขึ้นมา เพื่อปิดหลุมฝังศพของพ่อแม่ที่เสียชีวิตลงพร้อมกันในทันทีที่เครื่องบินตก เขาได้ฝังศพของพ่อและแม่ด้วยมือของตัวเอง เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายมากัดแทะศพ ด้วยการใช้เพียงท่อนไม้ปลายแหลมขุดหลุมลึกลงในพื้นดินที่เต็มไปด้วยกรวดหิน เมื่อฝังร่างผู้ให้กำเนิดแล้ว จึงได้กลิ้งหินก้อนโตๆมาทับไว้อีกชั้น

บริกเงยหน้าขึ้นมองไปยังเบื้องบน ณ ที่นั้น ด้วยกาลเวลาที่ผ่านไป ต้นไม้ได้ทอดกิ่งของมันยาวยื่นประสานกันขึ้นเป็นหลังคา แสงอาทิตย์สาดส่องผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ลงมาเป็นลำแสงเล็กๆ ความหนาของพุ่มพฤกษ์ในบริเวณนี้ ปิดกั้นเบื้องล่างไว้จากสายตาของนักบินบนเครื่องที่บินออกค้นหาและเด็กชายเล็กๆคนหนึ่งซึ่งมีอายุเพียงแค่ 9 ขวบ ก็เป็นจุดที่เล็กเกินกว่านักบินซึ่งอยู่สูงขึ้นไปถึง 2,000 ฟุตจะมองเห็นได้

หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุเป็นเวลากว่าอาทิตย์ ที่เครื่องบินลำแรกได้เริ่มต้นการค้นหา และหลังจากเวลาผ่านพ้นไป 3 วัน จึงได้มีการค้นหาเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นเครื่องบินทุกลำก็หายไปหมด บริกพยายามทบทวนความทรงจำของเด็กน้อยคนหนึ่ง ที่ต้องเดินตามหลังหมีไปด้วยท้องที่คอดกิ่ว เพราะความหิวโหยเป็นเวลาวันเต็มๆทำให้เขาต้องกินทุกอย่างที่หมีกิน แต่ก็นึกไม่ออกว่าตัวเองรอดชีวิตมาได้อย่างไรหรือได้กินอะไรเข้าไปบ้าง หรือได้ทำอย่างไรเพื่อให้ตัวเองได้รับความอบอุ่นในคืนที่อากาศหนาวเย็นที่ต้องวนเวียนอยู่แต่ในบริเวณภูเขาเช่นนั้น

เป็นเวลาถึง 2 เดือน ที่เขาต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ในท่ามกลางป่าดงพงพี เรียนรู้กฎแห่งการอยู่รอดจากธรรมชาติ อันเปรียบเสมือนครูที่สอนบทเรียนอย่างหนักและเหี้ยมเกรียมที่สุด และแล้ว..วันหนึ่งเขาก็เดินโซซัดโซเซเข้าไปในแคมป์ ที่เป็นของลุงคนหนึ่งของจ๊อคโค และคือผู้ที่เลี้ยงและดูแลฝูงแกะของเขาในทุกวันนี้ เขาใช้เวลาอยู่กับคนเลี้ยงแกะนานถึง 2 อาทิตย์ เพราะแกไม่อาจจะทิ้งแกะทั้งฝูงเพื่อนำเด็กชายออกไปสู่ความศิวิไลซ์ของโลกภายนอกได้..แต่ในระยะเวลา 2 อาทิตย์นั้น บริกได้เรียนรูถึงวิธีการเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะแกะอย่างมากมาย ซึ่งก็จากคนเลี้ยงแกะนั่นเอง และแล้ววันหนึ่งเจ้าของไร่ปศุสัตว์ก็มาถึง เพื่อนำเสบียงมาส่งให้กับคนเลี้ยงแกะและพาเด็กชายกลับออกไป

จุดหมายที่เขาตั้งใจจะเดินทางมาให้ถึงในครั้งนี้ อย่างน้อยก็เพื่อมาดูสถานที่ซึ่งเครื่องบินตกนั้นอีกครั้งหนึ่ง บริกก้มตัวลงพิจารณาดูซากเครื่องบิน ซึ่งท่อนหนึ่งของหางซุกอยู่ใต้พงต้นวีด เครื่องรับวิทยุ อุปกรณ์ประจำเครื่องและส่วนสำคัญต่างๆได้ถูกถอดออกไปหมดแล้ว แม้แต่ร่างของพ่อกับแม่ที่ไม่ได้ถูกฝังอยู่ในหลุมนี้อีกต่อไป เขาได้ขุดขึ้นเท่าที่สามารถทำได้ จากนั้นร่างของท่านทั้งสองก็ถูกนำขึ้นมาบรรจุใส่หีบศพ และถูกนำขึ้นเครื่องบินกลับไปยังฝั่งตะวันออก เพื่อทำการฝังตามพิธีอย่างถูกต้อง และตัวเขาเองก็ถูกส่งให้ปอยู่กับคุณปู่แซงเงอร์ แต่จะอย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่อาจลืมสถานที่นี้ลงได้ มันเป็นสถานที่ซึ่งเป็นดินแดนแห่งอิสรภาพ

เมื่อ 14 ปีก่อน ตอนที่บริกอายุได้ 24ปี เขาได้กลับมาที่นี่ครั้งหนึ่งแล้ว และมีความรู้สึกเหมือนตนเองได้กลับบ้าน เขาได้ซื้อที่ดินอันเป็นที่ตั้งของบ้านไร่ในปัจจุบัน แล้วก็ทำให้แผ่นดินผืนนี้เกิดดอกออกผลขึ้น แม้ว่ามันจะเป็นงานที่หนักหนาสาหัสก็ตาม แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็โชคดีมาตลอด เพียงแต่เมื่อมาถึง 2 ปีหลังนี้ที่มีพายุหิมะเกิดขึ้น อันเนื่องมาแต่ความแปรปรวนของธรรมชาติ จนเกือบทำลายไร่ปศุสัตว์ของเขาลง มาดว่าอนาคตในวันข้างหน้าจะหนาวเยือกเย็นสักเพียงไร แต่มันก็ยังไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญอยู่ในวันนี้ได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel