บทที่ 4
รอยเลือดที่หยดเป็นทางจากร่างของสัตว์ที่ต้องบาดเจ็บ ทำให้การแกะรอยง่ายขึ้น ทั้งหมดเดินตามเข้าไปในพุ่มไม้ เสียงหอบหายใจฟืดฟาดของสัตว์ที่กำลังจะสิ้นลมปราณ ทำให้พ่อลูกหยุดชะงัก เฟลชเชอร์ชี้มือไปทางที่มาของเสียง และแล้วทั้ง 3 พ่อลูกก็เดินตรงเข้าไปทางนั้น
เจ้ากวางผู้หางขาวนอนอยู่บนที่ราบใต้ต้นไม้ ไม่อาจลุกขึ้นยืนได้อีกต่อไป เลือดพรูพรั่งออกมาจากบาดแผลเป็นกองใหญ่ ไหลซึมลงไปในพื้นดินอย่างรวดเร็ว มันผงกหัวขึ้นหันมามองตามทิศทางที่คนทั้ง 3 เดินเข้ามา ทุกคนต้องหยุดชะงักอีกครั้งเมื่อมองเห็นดวงตาสีน้ำตาลคู่ใหญ่ที่กำลังมองมาอยู่
“ลูกต้องยิงมันซ้ำ คิท” เฟลชเชอร์บอกลูกชาย “ถ้าปล่อยมันไว้ในสภาพนี้จะต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าที่มันจะตาย” เขาผลักเบาๆลูกชายให้เดินเข้าไปหากวางตัวนั้น แต่ลักษณะที่เจ้ากวางนอนมองตาอยู่นั้นทำให้เด็กชายปฏิเสธทันที
“ไปสิ..อย่าให้มันต้องทรมานอยู่อย่างนี้ มองดูตามันสิลูก ไม่เห็นหรือว่ามันให้อภัยแล้ว..!”
คิทจ้องมองภาพที่ปรากกอยู่ตรงหน้า สีหน้าเด็กชายซีดเผือด ปืนไรเฟิลตกจากมือขณะที่เขาหมุนตัวกลับและวิ่งออกจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว หัวคะมำไปข้างหน้าขณะซอกซอนเข้าไปในระหว่างพุ่มไม้หนาๆ เฟลชเชอร์ สมิท ขยับจะก้าวเท้าตามลูกชายไป ยื่นแขนออกไปข้างหน้าเหมือนจะทักท้วง..
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะพ่อ” จอร์ดันน่าก้มลงหยิบปืนไรเฟิลขึ้นมาถือไว้ในมือ ขณะพูด เจ้าหล่อนก็เบนเป้าปากกระบอกปืนไปยังเจ้ากวางเคราะห์ร้ายตัวนั้น
“หนูจะยิงมันเอง..!” พร้อมกันนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้งก่อนที่เฟลชเขอร์จะทันห้าม “คราวนี้มันตายแน่แล้วค่ะ” จอร์ดันน่าพูดง่ายๆด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เงยหน้าขึ้นมองบิดา พยายามพูดอะไรบางอย่างเพื่อให้เกิดความสบายใจขึ้น
“หนูว่าคิทไม่เข้าใจมากกว่า..”
มือของเฟลชเชอร์สะท้านเมื่อเอื้อมไปคว้าไหล่ลูกสาว ดึงร่างเล็กๆนั้นเข้ามาไว้ในอ้อมแขน กกกอดร่างลูกสาวไว้แน่นเป็นครู่จึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง ก่อนจะก้มลงยิ้มให้จอร์ดันน่า สัมผัสนั้นก่อให้เกิดความอบอุ่น ความอ่อนโยน ทะนุถนอม อันเป็นพลังประหลาดที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาของเขา
“ลูกก็ยังเป็นลูกสาวเล็กๆของพ่ออยู่นั่นเองใช่ไหม จอร์ดันน่า?” เขาถามเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรให้ดีกว่านั้น
“ก็ใช่น่ะสิคะพ่อ” จอร์ดันน่าตอบรับทันที ความใกล้ชิดสนิทสนมครั้งพิเศษนี้ ก่อให้เกิดพลังมหัศจรรย์ขึ้นในใจทั้งพ่อและลูก เป็นความเข้าใจในกันและกัน รู้ซึ้งถึงความปรารถนาอันสมบูรณ์แบบที่สุด
“อยากจะช่วยพ่อชำแหละเจ้ากวางตัวนี้เสียก่อนไหมล่ะ?” เฟลชเชอร์ดึงมีดออกมาจากฝัก “รู้สึกว่าจะไม่ฉลาดนะ ถ้าเราจะปล่อยให้มันนอนตายอยู่อย่างนี้”
“ได้สิคะพ่อ หนูช่วยได้”
“ลูกแน่ใจนะว่าจะไม่รู้สึกคลื่นไส้ ซึ่งถ้าลูกรู้สึกอย่างนั้น พ่อก็ไม่แปลกใจหรอก”
“ไม่หรอกค่ะ พ่อจะให้หนูทำอะไรก่อนคะ?”
คิทซุกตัวนั่งอยู่ในเบาะหลังของรถจี๊ป ขณะที่พ่อกับน้องสาวเดินกลับมาถึงรถที่จอดไว้ เฟลชเชอร์ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น ขณะเอากวางที่ชำแหละแล้วพาดลงตรงที่จัดไว้ ตลอดเวลาที่เดินมาตามทางเขาได้กลิ่นที่คิทอาเจียนไว้เรี่ยราด เมื่อชำเลืองมอง ก็พบใบหน้าที่ซีดขาวแทบจะกลายเป็นสีขี้เถ้า เขารู้ว่าอาการของลูกชายยังไม่ดีขึ้น
จนเมื่อออกมาถึงถนนใหญ่ เฟลชเชอร์จึงได้เงยหน้าขึ้นมองกระจกส่องหลัง และพบเข้ากับสายตาที่บอกถึงความสะเทือนใจของลูกชาย
“ไม่เป็นไรหรอกคิท ลูกไม่จำเป็นต้องขอโทษหรือรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย ครั้งนี้มันเป็นครั้งแรกที่ลูกยังไม่เคยพบเห็นอะไรอย่างนี้มาก่อน มันก็เลยทำให้เกิดอาการรุนแรงขึ้นจิตใจและร่างกาย แต่คราวหน้าถ้าเราออกมาล่าสัตว์ด้วยกันอีก ลูกจะรู้สึกว่ามันง่ายขึ้น”
“ไม่ครับ ผมไม่ต้องการออกมาอีกแล้ว” คิทตอบห้วนๆ
“ใช่ สำหรับตอนนี้ลูกก็ต้องรู้สึกอย่างนั้นแหละ เป็นธรรมดา” เฟลชเชอร์ตอบเรียบๆ “แต่อีกไม่นานลูกก็จะเปลี่ยนใจ”
“ไม่ครับ ผมไม่เปลี่ยนแน่”
เฟลขเขอร์ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงกับลูกชายอีกต่อไป หันไปใส่ใจกับการจราจรบนเส้นทางหลวง แต่จอร์ดันน่าดูจะมองเห็นแววบางอย่างที่ปรากฏขึ้นในดวงตาคู่สีน้ำตาลของพ่อ จึงเอี้ยวตัวไปมองหน้าพี่ชาย
“ฉันเอาปืนไรเฟิลมาให้ด้วยแล้วละ คิท..นี่ไง” เธอยื่นปืนข้ามเบาะส่งไปให้พี่ชาย
“เก็บไว้เถอะ จอร์ดันน่า พี่ไม่เอาแล้ว” เขาเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ
“แต่มันเป็นของขวัญนะ” จอร์ดันน่าทักท้วง “ก็พ่อให้พี่ไง..พี่เพียงแต่ไม่..” มือของผู้เป็นบิดาแตะลงบนต้นแขนเธอ จอร์ดันน่าจึงได้หันกลับมาและพ่อก็ตบลงบนต้นแขนเบาๆอย่างพอใจ..
ม้ารูปร่างพ่วงพีตัวหนึ่งวิ่งเหยาะข้ามทุ่งหญ้าเหนือที่ราบสูงไปอย่างสบายๆ พุ่มขนหางสีน้ำตาลแกมทองของมันทั้งหยาบและหนา ลมหายใจที่เป่ารดออกมาเป็นหมอกควันบางๆ ห่วงเหล็กกระชับอยู่ในระหว่างแนวฟัน อานหนังส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดอยู่ใต้น้ำหนักร่างของผู้ขี่ โกลนเสียดสีอยู่กับรองเท้าบู๊ทข้างตัว
เขา..คือผู้ชายคนหนึ่ง ผู้มีเรือนร่างล่ำสันแข็งแรงซึ่งขณะนี้กำลังนั่งทอดตัวตามสบายอยู่บนอานม้านั้น ดูทีท่าเหมือนไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างใด แต่กระนั้นความเคลื่อนไหวในทุกส่วนของเจ้าม้าตัวนั้น ก็ได้ถูกถ่ายทอดไปสู่เขาผ่านทางสายบังเหียนและกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่งของมันที่รองรับอยู่ใต้อาน แต่ภายใต้ท่าทางที่เหมือนจะเหนื่อยหน่ายนั้น ก็ดูราวจะซุกซ่อนความว่องไวตื่นตัวไว้ตลอดเวลา
รองเท้าบู๊ทที่เขาสวมใส่อยู่เต็มไปด้วยคราบฝุ่นและโคลนตมที่จับเขรอะขึ้นมาถึงข้อเท้า โกลนเหล็กดูเก่าลงด้วยระยะเวลาที่ผ่านการใช้งาน กางเกงยีนส์สีซีดแต่ก็ไม่เก่าจนเกินไปนัก ปะไว้ด้วยแผ่นหนังตรงหัวเข่าและใต้ก้น เสื้อแจ๊คเก็ตตัวหนาตัดเย็บด้วยหนังแกะยาวคลุมลงมาถึงสะโพก ถูกปัดชายให้ขึ้นไปรวมกันอยู่ทางด้านหลังเพื่อสะดวกในการขี่ม้า มือที่จับสายบังเหียนไว้แน่นกระชับนั้นสวมด้วยถุงหนังเนื้อนุ่ม เนื่องจากผ่านการใช้งานมามาก คอปกเสื้อคลุมถูกยกให้สูงขึ้น เพื่อป้องกันกระแสลมเย็นเยียบที่พัดผ่านมาจากทิวเขาสูงชัน หมวกปีกกว้างเขรอะด้วยคราบฝุ่นถูกดึงปีกให้หรุบลงมาปิดบังใบหน้าไว้ เรือนผมสีน้ำตาลเข้มดกหนา ตรงปลายที่ยาวปรกลงมาถึงคอปกเสื้อนั้นขมวดหยิกเป็นลอน
เวลาผ่านไปนานนับชั่วโมงที่เขาต้องกรำอยู่กลางแสงแดดแรงร้อน ทำให้ผิวสีน้ำตาลคล้ำบนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทองแดงไปแล้ว หนวดเคราที่ดกครึ้มเหนือริมฝีปากถูกขลิบออกจนมองดูคล้ายขนแปรงสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาของเขาเป็นสีน้ำตาลใส ที่บัดนี้ดูแห้งผากและเปลี่ยนไปจนคล้ายสีฝุ่นมากกว่า แสงอาทิตย์ที่แรงกล้าเน้นเส้นรอบดวงตาให้เด่นชัดขึ้น คิ้วคมเข้มที่เป็นแนวโค้งตามธรรมชาติช่วยเน้นกรอบหน้าให้คมเข้มขึ้นไปอีก พลังแห่งความมั่นใจและความอดทนนั้น ดูจะแสดงให้เห็นได้ชัดจากเรือนกายของเขา เป็นลักษณะของบุรุษที่เมื่อผู้ใดได้พบเห็นจะต้องหลีกทางให้ เพราะถ้าสถานการณ์คับขัน บุรุษผู้นี้จะไม่ถอยแม้เพียงก้าวเดียว เขาไม่ใช่บุคคลที่ใครจะมาดูถูกเล่นได้ง่ายๆ
ขณะนี้ ดวงตาที่เต็มไปด้วยแววฉลาดหลักแหลมกำลังมองกวาดไปทางด้านขวามือ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 30 ฟุต และเพียงขยับข้อมือ บริก แมคคอร์ด ก็กระตุ้นม้าให้เดินไปทางนั้น
ขณะที่ม้าเดินใกล้ที่หมายเข้ามา เขาก็ยังรั้งสายบังเหียนให้มันชะลอความเร็วลงอีก หญ้าตันสูงแข็งแกร่งสะบัดยอดระรายอยู่เหนือขาสีดำของม้าตัวที่ขี่อยู่ แนวต้นไม้เบื้องหน้าที่ขึ้นอยู่ ดูประหนึ่งจะเป็นเพียงแนวขอบต่ำๆของท้องทุ่งกว้างแห่งนี้ เนื่องจากมีหิมะที่ตกลงปกคลุมไว้และเป็นเพราะพายุหิมะครั้งหลังสุดนี่เอง ที่ก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงแก่แผ่นดินไอดาโฮ ทั้งที่อยู่ในฤดูใบไม้ผลิแล้ว
ม้าตัวที่เขาขี่หยุดลง ส่งเสียงร้องคำรามเบาๆ ส่ายจมูกลงดมวัตถุที่กลิ้งอยู่ใต้ตีนมัน เมื่อม้าเบี่ยงตัวออก บริกจึงได้เห็นซากโครงกระดูก ซึ่งยังมองเห็นเป็นรูปร่างของลูกวัวตัวหนึ่ง บนกระดูกบางส่วนยังมีเนื้อสีแดงติดอยู่ด้วยซ้ำ
“ชิท..”เขาสบถออกมา เมื่อเห็นภาพนั้น..นี่มันตายไปสักกี่ตัวแล้ว..ซึ่งเขาเองก็ยังไม่อาจรู้ได้
บริกกวาดสายตามองไกลออกไป ในที่ซึ่งบางแห่งยังมีหิมะบางๆปกคลุมอยู่ พายุหิมะในฤดูใบไม้ผลิครั้งสุดท้ายนี้ สร้างความเสียหายให้มากกว่าที่ควรจะเป็น เมื่อคำนวณระยะเวลา เขาก็ยังคิดว่าตัวเองอาจะจะยังโชคดีอยู่บ้าง ถ้าลูกวัวสัก 40 เปอร์เซ็นต์จะยังเหลือรอดชีวิตอยู่และเมื่อเฉลี่ยต่อปี เขาก็ยังพอโผล่ขึ้นมาหายใจเหนือน้ำได้ แต่มันไม่ใช่เพียงแค่นั้นแน่ เขาน่าจะโขคดีถ้าจะไม่สูญเสียไร่ปศุสัตว์แห่งนี้ไป ถ้าเพียงแต่เขาจะมีโอกาสได้ทำประกันไว้..
“ชิท..แต่กูจะเอาเงินที่ไหนมาเสียค่าเบี้ยประกันเล่า..?” บริกขัดความคิดของตัวเองขึ้นมาเบาๆ กระแทกโกลนตรงสีข้างม้าและชักม้าให้บ่ายหน้าออกไปจากบริเวณนั้น
ครู่ต่อมาฝีเท้าม้าก็เปลี่ยนเป็นเหยาะย่างไปเรื่อย แต่เมื่อไปได้เพียงชั่วครู่ มันก็ส่งเสียงร้องคำรามออกมาอีก ครั้งนี้อาจจะเป็นเพราะความไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของผู้เป็นนาย ซึ่งวิ่งวนอยู่กลางท้องทุ่งหญ้าระยะทางไกลเป็นไมล์นั้นก็ได้ หลังจากที่การตรวจตราความเสียหายเสร็จสิ้นลง บริกก็กระตุ้นม้าให้ออกวิ่งตรงต่อไป
เขาได้พบซากลูกวัวอีก 2 ตัวที่นอนตายอยู่ ซากตัวที่ 3 นอนอยู่ในดงไม้ ดูเหมือนจะถูกลากเข้าไปในนั้นด้วยพวกสัตว์กินเนื้อทั้งหลาย การพบซากลูกวัวแต่ละตัว ทำให้สมองของบริกต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อประเมินผลอันจะเกิดขึ้น อันเป็นปัญหาของเขา