ตอนที่ 6 ความรู้สึกใดกันแน่!!
“เจ้านี่ช่างไร้มารยาทเสียจริง ท่านอ๋องบอกแล้วว่า…”
“เจ้าออกไปก่อน”
“ได้ยินหรือไม่ ท่านอ๋องบอกให้เจ้าออกไป ยังเสนอหน้ายืนอยู่ทำไมอีก”
เฟิ่งจื่อหลิงหันไปมองสตรีที่โวยวายอยู่ด้านหลังเขาอย่างหมดความอดทน
“ที่ข้าพูด หมายถึงเจ้าเซียงถงเหยา เจ้าออกไปก่อน”
“หม่อมฉัน!! แต่ว่าท่านอ๋องเพคะ”
“ออกไป”
“ท่านอ๋องเพคะ แต่ว่าพวกเรายังคุยกันไม่จบนะเพคะ”
“หลงอี้!!”
“ก็ได้เพคะ หม่อมฉันออกไปก่อนก็ได้”
เซียงถงเหยาเดินออกไปด้วยความหงุดหงิดพร้อมกับมองหน้าหลินเย่ด้วยความไม่ชอบใจเท่าใดนัก แต่ หยางหลินเย่ไม่ได้มองนางแม้แต่น้อย สายตานางมองไปที่บุรุษหนุ่มที่ไม่ได้พบมาร่วมเดือนตรงหน้านาง
“เจ้ามีสิ่งใดอยากจะพูดก็พูดเถอะ เอาแต่ส่งสายตาเกลียดชังนั่นมาให้ข้า จะให้ข้าคิดเช่นไร นี่เจ้าคงมิได้มาที่นี่เพราะความหึงหวงข้าหรอกกระมัง”
“หึ คิดมากไปแล้ว ต่อให้ท่านจะเสพสมกับเหล่าสตรีอีกสักสิบคนอยู่ในห้องนี้ก็มิใช่เรื่องของข้า”
“ดูท่าแล้วพระสนมคงเหงาที่หาคนชวนทะเลาะไม่ได้ จึงได้มาหาเรื่องข้าถึงที่นี่สินะ”
“ข้าจะมาถามข่าวของมี่อิน ท่านเอานางไปไว้ที่ใดกันแน่เหตุใดจึงไม่ยอมปล่อยนางออกมาเสียที”
เฟิ่งอ๋องรู้ว่านางคงหาโอกาสถามเรื่องนี้มานานแล้ว เขาเองเป็นฝ่ายที่ไม่ไปหานางและไม่หาเรื่องนางอีก เพราะเขากำลังคิดหาทางออกเรื่องนี้
เขาไม่ได้ต้องการแต่งงานกับสตรีที่เกลียดเขา และยิ่งสตรีตรงหน้านี้คือน้องสาวของสหายร่วมศึกด้วยแล้ว เขาจึงเลี่ยงที่จะปะทะคารมกับนาง
แต่พบว่าทุกครั้งที่พบนาง เขากลับเกิดความรู้สึกบางอย่าง จะว่าใจอ่อนก็ไม่ใช่ แต่สายตาของนางที่มองเขาด้วยความเกลียดทุกครั้งที่พบกัน มันทำให้เขาอยากเอาชนะนาง
“เจ้าทำตามข้อตกลงของเราหรือยัง”
“ข้าไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ท่านและยังไม่เคยคิดฆ่าตัวตายอีก หากท่านยังมีความเป็นคนอยู่ก็ควรปล่อยมี่อินออกมาได้แล้ว”
“พระสนม เจ้าใช้คำพูดและสายตาเช่นนี้ขอร้องผู้อื่นเช่นนั้นหรือ ที่ชุนฮัวของเจ้ามิได้สอนหรือว่าเวลาขอร้องผู้อื่นให้ทำตัวเช่นไร”
หลินเย่รู้สึกโมโหเพิ่มขึ้น ก่อนหน้านี้นางเพียงแค่ต้องการมาสอบถามเรื่องของมี่อิน แต่เมื่อเปิดประตูเข้ามาพบเขา นางกลับโมโหเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ และตอนนี้แทบอยากจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ
นางพยายามข่มใจเอาไว้และนึกถึงเพียงมี่อินที่เป็นดั่งพี่น้องของนางเพราะเติบโตมาด้วยกัน นางจึงยอมคุกเข่าขอร้องเขา
“ขอท่านอ๋องโปรดเมตตา ปล่อยมี่อินด้วยเพคะ”
หลินเย่ก้มหน้าหลับตาและพูด นางไม่เคยคิดว่าจะต้องทำเช่นนี้มาก่อน เฟิ่งอ๋องเองก็ไม่คาดคิดว่านางจะทำเพื่อสาวใช้คนหนึ่งได้ถึงเพียงนี้ ทั้งกิริยาอ่อนช้อยงดงามที่นางทำและน้ำเสียงที่พูดออกมาทำเอาเขาใจอ่อนยวบจนแทบอยากจะไปประคองนางขึ้นมาแล้วกอดเอาไว้ แต่ก็ลืมนึกถึงไปว่า....นางยังคงเกลียดเขาอยู่
“ลุกขึ้นเถอะ คนของเจ้าข้าจะส่งไปให้ทีหลัง”
“ไม่ทราบว่าท่านอ๋องจะปล่อยนางกลับมาเมื่อใดเพคะ”
“ทำไม หากว่าพวกเจ้าพบกันแล้ว จะวางแผนหนีออกไปอีกงั้นหรือ”
หลินเย่ไม่ตอบ นางเพียงหันหน้าหนี เฟิ่งอ๋องเดินมาพร้อมกับรวบตัวนางเข้ามากอดเอาไว้และจับที่ปลายคางนางเชิดขึ้นมาเพื่อให้สบตาเขา
“มองข้าแล้วตอบคำถามสิ พระสนมคิดว่าตำหนักอ๋องของข้า นึกอยากจะมาก็มา อยากจะไปก็ไปได้งั้นหรือ”
“ปล่อยข้านะ”
“ทำไม เจ้าทนไม่ไหวแล้วงั้นหรือ เจ้าฝืนทำท่านอบน้อมได้เพียงไม่เท่าใดก็เผยตัวตนออกมาเช่นนี้ ข้าควรจะช่วยเจ้าดีหรือไม่!!”
“ท่านรับปากแล้ว ท่านเป็นฉีอ๋องแห่งฉีโจว คิดว่าคงไม่ผิดคำพูด”
“หึ ก็ได้ ข้าไม่ผิดคำพูด แต่ค่าตอบแทนเล่า ข้าคิดว่าเจ้าต้องจ่ายเสียหน่อยนะพระสนม”
หลินเย่เริ่มส่งสายตาระแวงมาที่เขาเมื่อเฟิ่งอ๋องเริ่มกอดนางแน่นขึ้นนางพยายามเบี่ยงหน้าหนีแต่ไม่อาจสู้แรงมือของเขาได้
“อยู่นิ่งๆ หากเจ้าอยากได้สาวใช้ของเจ้าคืนก็ทำตามที่ข้าสั่ง”
“คนเลว…อื้อ..ปล่อยข้านะ คนสารเลว!!”
เฟิ่งอ๋องก้มลงจูบนางซ้ำแล้วซ้ำอีกจนนางเริ่มต่อต้านไม่ไหว ลิ้นสากหนาล้วงเข้าไปลิ้มลองในรวงปากที่หวานราวน้ำผึ้งแตกต่างกับสายตาและคำพูดของนางที่ใช้กับเขายิ่งนัก มือหนาค่อยๆจับใบหน้านางขึ้นมารับจูบของเขา หลินเย่เองก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าเหตุใดต้องยอมให้คนที่เกลียดที่สุดมาทำเช่นนี้
แต่หากนางไม่ยอม มี่อินก็ไม่รอด แต่เรื่องที่เขาฆ่าพี่สาวนางเล่า….คิดได้เช่นนี้นางจึงได้กัดเขาเข้าไปเต็มแรงจนเลือดเขาออก
“เจ้าอยากจะลองดีกับข้างั้นสินะ!!”
“ออกไปนะ ท่านรับปากข้าแล้ว ข้าก็ทำตามใจท่านแล้ว พวกเราถือว่าหายกัน”
“นี่เจ้า!!”
“ปล่อยข้านะ นังแพศยานั่นอยู่ที่ใด!!”
เสียงโวยวายด้านนอกดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออกมา สตรีอีกคนที่หลินเย่ไม่เคยพบหน้าเดินเข้ามาด้านในพร้อมกับมองไปที่ท่านอ๋องที่เลือดไหลอยู่มุมปาก
“พี่จื่อหลิงเกิดสิ่งใดขึ้น นี่เจ้า…กล้าทำร้ายท่านอ๋องเชียวหรือ นังมารร้าย”
“เพี๊ยะ!!”
“อาจู!!”
“พระสนม พระองค์ปลอดภัยหรือไม่เพคะ”
“หลานมู่เอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร หลงอี้!!”
“ข้าอยากมาเห็นหน้าพระสนมของท่านน่ะสิ นี่หรือองค์หญิงที่ชุนฮัวส่งมาอีกคน ครั้งนี้จะมาทำร้ายผู้ใดอีกเล่า อย่าได้คิดมาเผยอหน้าอยู่ตรงนี้ พี่จื่อหลิงไม่เหมือนหยวนซื่อที่เจ้าจะใช้มารยาทำให้เขาลุ่มหลงได้”
“หยุดนะ!! หลานมู่เอ๋อร์ เจ้าออกไปก่อน”
“พี่จื่อหลิง แต่นางถึงกับทำร้ายท่าน”
“ข้าบอกให้เจ้าออกไป!!”
“เดี๋ยวก่อน”
หลินเย่เป็นผู้ที่เรียกนางเอาไว้
“เจ้ามีสิ่งใดจะ…”
“เพี๊ยะ…..เพี๊ยะ”
“โอ๊ย นี่เจ้า…กล้าตบข้างั้นหรือ!!”
เฟิ่งอ๋องรู้แรงของนางดีเพราะเคยประมือกัน หากนางยังลงมือ หลานมู่เอ๋อร์ได้บาดเจ็บหนักแน่
“พระสนม หยุดนะ!!”
“ตบแรกข้าตบแทนอาจู นางเป็นคนของข้า ไม่ใช่คนที่เจ้านึกอยากจะตบก็ตบได้ ตบที่สองข้าตบให้ความไร้มารยาทของเจ้า ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเข้ามาเพื่ออะไร แต่ตอนนี้ข้าไม่มีธุระอะไรกับท่านอ๋องของเจ้าแล้ว พวกเจ้าอยากทำสิ่งใดกัน ก็เชิญ!! อาจู พวกเรากลับ!!”
“พระสนม เจ้าหยุดก่อน!!”
“มีสิทธิ์อะไรมาสั่งข้า ท่านอ๋องสั่งพวกสตรีที่รายล้อมพระองค์ไม่ให้มายุ่งกับข้าได้ก่อนเถอะ หึ…. สันดานผู้ชาย มักมากไม่สิ้นสุด”
“เจ้า…เหตุใดหยาบคายเช่นนี้ ท่านอ๋องเพคะ”
“หลงอี้ เจ้าพานางไปส่ง”
“ไม่ต้อง!! ข้ามาเอง…ก็กลับเองได้ เชิญท่านอ๋องตามสบาย”
หลินเย่เดินออกมาจากห้องทรงงานและเดินรุดกลับตำหนักอย่างรวดเร็วมีอาจูเดินตามไม่ห่าง เมื่อถึงตำหนักแล้ว นางจึงสั่งให้อาจูนั่งลงที่โต๊ะและหยิบยาที่ครั้งก่อนอาจูนำมาใส่แผลให้นางมาทาให้อาจู
“พระสนมเพคะ หม่อมฉันไปหายาทาเองก็ได้เพคะ ยานี่…”
“เจ้าอยู่เฉยๆ เหตุใดเจ้าช่างโง่นัก นางมาตบข้าไม่ได้หรอก เจ้าไปรับฝ่ามือแทนทำไม ดูสิ มีเลือดออกด้วย รอเดี๋ยวนะ ข้าจะเช็ดออกให้”
“พระสนมดีกับบ่าว หม่อมฉันอยู่รับใช้พระองค์ ย่อมต้องอยากปกป้องพระองค์ เป็นหน้าที่ของบ่าวเพคะ”
“อาจู แม้เจ้าจะเป็นสาวใช้ แต่ข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นบ่าวไพร่เจ้าอย่าดูถูกตัวเอง มานี่ อยู่เฉยๆข้าจะใส่ยาให้”
หลินเย่ค่อยๆใส่ยาให้นางพร้อมกับถาม
“ผู้ที่ตบเจ้าคือผู้ใดกัน”
“นางชื่อหลานมู่เอ๋อร์ เป็นบุตรสาวคนรองของท่านเจ้ากรมคลังเพคะ”
“เหตุใดลูกขุนนางกรมคลังจึงเข้านอกออกในห้องทรงงานท่านอ๋องได้ นางมิใช่พระสนมของเขางั้นหรือ”
“พระสนมคงเข้าใจผิดแล้วเพคะ แม่นางหลานมิใช่พระสนมหรือขุนนาง แต่เป็นน้องสาวของ…”
หลินเย่เห็นว่าอาจูนิ่งเงียบไป เหมือนว่านางไม่อยากพูด แต่ตอนนี้นางเองก็ไม่อยากรู้เรื่องของเขา
“ช่างเถอะ หากเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องบอก แล้วอีกคน ข้าหมายถึงสตรีคนแรกที่อยู่ในห้อง”
“อ่อ นั่นแม่นางเซียงถงเหยา เป็นเป็นบุตรแม่ทัพเซียงและสหายของท่านอ๋องเพคะ”
“หึ สหายเข้ากอดจูบกันด้วยหรือ ข้าพึ่งรู้”