บทที่ 5 หมู่ตึกสำราญ
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จ ก็ให้เซาะอี่เข้าไปอาบน้ำบ้าง ตนเองจึงหยิบมีดออกมาโกนหนวดเคราจนเกลี้ยงเกลา ใช้หวีสางผมจนดูสวยงามเรียบร้อยเพียงแต่ไม่รวบผม ทำให้ปวยเอ็งกลับมาดูงามสง่าเยาว์วัยอีกครั้งแม้อายุจะใกล้สี่สิบแล้วก็ตาม ในขณะนั้นเซาะอี่ที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยก็เดินออกมา ปวยเอ็งจึงได้มีโอกาสเพ่งพิศดูนางได้อย่างเต็มตา รูปร่างที่ดูสมส่วนใบหน้าที่สวยงามน่ารักดวงตากลมโตผิวพรรณขาวผุดผ่องเป็นยองใยตามธรรมชาติไม่มีแม้รอยแต่งเติมหรือประทินโฉม ทำให้นางยิ่งดูอ่อนเยาว์งดงามยิ่ง สีอาภรณ์ที่เปลี่ยนใหม่แม้ไม่ฉูดฉาดเท่าชุดเก่า แต่ก็ไม่ทำให้นางดูหม่นหมองลงแต่ประการใด จมูกที่เชิดขึ้นเล็กน้อยแสดงถึงความดื้อรั้นเอาแต่ใจแต่กลับมีดวงตาที่เปล่งประกายความเจ้าปัญญาฉลาดเฉลียวออกมา ริมฝีปากน้อยๆสีชมพูระเรื่อดูน่ารัก ยิ่งเวลายิ้มเห็นฟันซีกขาวที่เรียงสวยงามด้วยแล้วยิ่งขับเน้นถึงความร่าเริงสดใสซุกซนไร้มารยาของนาง ทำให้ปวยเอ็งอดแปลกใจประวัติความเป็นมาของนางไม่ได้ เพราะลักษณะท่าทางกริยาการพูดจาต้องมีที่มาไม่ธรรมดาเป็นแน่ แต่ปวยเอ็งเป็นคนเคารพเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นเสมอมา มันเชื่อว่าถ้าคนอื่นอยากเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟังจะเล่าให้ฟังเอง แต่ถ้าไม่ยินดีจะเปิดเผยแล้ว ต่อให้ซักถามแทบตายก็ไม่มีทางได้รับคำตอบหรือไม่ใช่คำตอบที่แท้จริง มันจึงไม่ถามออกไป แต่เชื่อว่าสักวันนางต้องเล่าให้มันฟังแน่นอน ส่วนเซาะอี่เมื่อเห็นปวยเอ็งต้องตะลึงเล็กน้อย เพราะตอนนี้ปวยเอ็งอาบน้ำโกนหนวดเคราสางผมเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ชุดใหม่แล้ว เปลี่ยนเป็นหล่อเหลางามสง่าและดูองอาจเยาว์วัยขึ้นทันที บุคลิกคล้ายกลับเป็นเยี่ยงพญาเหยี่ยวอหังการในอดีตที่เคยยิ่งใหญ่ดังเดิม จนในใจของนางต้องเกิดความหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก ต่างมองกันไปมาจนต้องหัวเราะให้แก่กันเพื่อแก้เขินด้วยกันทั้งคู่ จากนั้นทั้งคู่ก็ชวนกันออกไปรับประทานอาหารกลางวันที่เหลาสุราอาหารของโรงเตี้ยมสุขสราญที่เบื้องล่าง
เนื่องจากใกล้ยามเที่ยงมากแล้วจึงมีผู้คนมากมายเข้ามาดื่มกินกัน โดยมากกลับเป็นชาวบู๊ลิ้มที่มาจากภายนอกนคราฯ ปวยเอ็งเลือกโต๊ะที่อยู่มุมห้องไม่เป็นที่สะดุดตามากนัก แล้วให้เซาะอี่เป็นคนเลือกสั่งอาหาร เพียงไม่นานอาหารก็ถูกลำเลียงออกมา ต่างรับประทานกันอย่างเงียบงัน เพราะเซาะอี่สังเกตเห็นปวยเอ็งกำลังเงี่ยหูฟังการสนทนาของเหล่าลูกค้าโต๊ะอื่นที่เข้ามาดื่มกินที่นี่ นางจึงรับประทานอาหารอย่างสงบเสงี่ยมหุบปากโดยมิได้ซักถามอะไรปวยเอ็งสักคำ เมื่ออิ่มหนำกันเรียบร้อย ปวยเอ็งให้เซาะอี่ชำระเงิน แล้วจึงชวนเดินกลับขึ้นมาบนห้องพักทันที
เซาะอี่ที่อดกลั้นปิดปากเงียบมาโดยตลอด พอปิดประตูห้องเรียบร้อย รีบลากปวยเอ็งไปนั่งเก้าอี้ที่กลางห้องแล้วรีบถามปวยเอ็งว่า
ตั่วกอ…ท่านได้ยินข่าวอะไรมาบ้าง?
ปวยเอ็งยิ้มเล็กน้อย ที่เซาะอี่อดกลั้นได้นานถึงขนาดนี้ จึงรีบตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
ข่าวการต่อสู้ที่หน้านคราฯเมื่อเช้า ได้แพร่สะบัดไปทั่วนคราฯแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่มีปฏิกิริยาใดจากภายในนคราฯออกมา อีกทั้งเรื่องราวความเป็นมาของการต่อสู้และบุรุษสตรีผู้นั้นยังเป็นปริศนาให้ถกเถียงกันอยู่ ส่วนเรื่องความเคลื่อนไหวของชาวบู๊ลิ้มที่เข้ามาในนคราฯช่วงนี้เป็นจำนวนมาก ฟังคล้ายกับว่าทุกคนมาเพราะของมีค่าสำคัญชิ้นหนึ่งกำลังจะปรากฏขึ้นในนคราฯ ทุกคนต่างหวังเข้ามาแย่งชิงกลับออกไป ส่วนว่าของสำคัญชิ้นนั้นคืออะไรและจะปรากฏเมื่อใด ดูเหมือนทุกคนพยายามปกปิดซึ่งกันและกันอยู่ ถ้าหากพวกเราต้องการทราบข่าวคราวใดให้มากกว่านี้ คืนนี้คงต้องตระเวนราตรีรอบนคราฯสักรอบ อาจจะได้เบาะแสหรือข่าวคราวเพิ่มเติมบ้าง ดังนั้นฉวยโอกาสช่วงบ่ายนี้หลับพักผ่อนถนอมเรี่ยวแรงไว้ค่อยออกเคลื่อนไหวยามค่ำมืดเถอะ
กล่าวจบ ไม่สนใจปฏิกิริยาของเซาะอี่อีก ลุกขึ้นเดินไปที่มุมห้องทรุดนั่งลงโคจรลมปราณภายในทันที ปล่อยให้เซาะอี่ที่ตั้งใจจะซักถามปัญหาข้อข้องใจหลายข้อได้แต่อ้าปากค้าง จำต้องรอคอยให้ปวยเอ็งโคจรลมปราณภายในให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน
เวลาผ่านไปตามวิถีของมัน ในที่สุดฟ้าเริ่มมืดค่ำแล้ว ปวยเอ็งลืมตาลุกขึ้นยืน ปลุกเซาะอี่ที่นั่งสัปหงกอยู่ให้ไปสั่งอาหารขึ้นมาดื่มกินบนห้องพักอย่างง่ายๆ หลังจากร่วมกันรับประทานอาหารค่ำกันเรียบร้อยแล้ว ปวยเอ็งเรียกผู้รับใช้มาสอบถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวยามราตรีของนคราฯแห่งนี้ ได้คำตอบว่า ในนคราฯแห่งนี้มีซ่องคณิกาและบ่อนพนันขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียว ซึ่งก็เป็นกิจการของนคราฯเช่นกัน อยู่รวมกันในบริเวณเดียวกัน เรียกว่า “หมู่ตึกสำราญ”
มีอาณาบริเวณกว้างขวางจนติดกับกำแพงนคราฯชั้นใน เพียงเดินไปตามถนนสายหลักเข้าไปด้านในไม่ไกลนักจะเห็นมีโคมไฟหลากสีสว่างไสวสามารถสังเกตเห็นได้แต่ไกล ปวยอ็งจึงชวนเซาะอี่มุ่งหน้าออกไปเพื่อสืบเสาะข่าวสารกัน
จริงอย่างที่ผู้รับใช้กล่าวไว้ หมู่ตึกสำราญตั้งอยู่สุดปลายถนนสายหลักประดับประดาด้วยโคมไฟหลากสีสันมากมายสามารถสังเกตเห็นได้แต่ไกลโดยง่ายพร้อมกับมีเสียงวงมโหรีบรรเลงเพลงแว่วมาตลอดเวลา ยามนี้เพิ่งเป็นยามต้นเท่านั้น แต่กลับมีลูกค้าชายหญิงมากมายมาใช้บริการ ผ่านประตูใหญ่ทางเข้าของหมู่ตึกสำราญเข้ามาด้านซ้ายมือเป็นซ่องนางคณิกาตรงกลางเป็นเหลาสุราอาหารด้านขวามือเป็นบ่อนพนันล้วนมีทางเดินเชื่อมต่อถึงกันโดยตลอด เพียงแต่ในส่วนของหอนางโลมหรือซ่องนางคณิกามิอนุญาตให้อิสตรีภายนอกเข้าไปได้ ตั้งแต่บริเวณหน้าประตูทางเข้ามีนักบู๊พิทักษ์นคราฯสวมชุดเครื่องแบบสีขาวรัดกุมสะพายอาวุธยืนรักษาความสงบเรียบร้อยอยู่ทั่วไป แต่ไม่สวมเสื้อเกราะเฉกเช่นเดียวกับพวกที่หน้าประตูทางเข้านคราฯและไม่ยุ่งเกี่ยวกับลูกค้าที่เที่ยวหาความสำราญแม้แต่น้อย
ปวยเอ็งสังเกตเห็นพวกนักบู๊พิทักษ์นคราฯเหล่านี้ทำให้ประหวัดนึกถึงเหตุการณ์การต่อสู้ของพวกมันเมื่อเช้านี้ พวกมันมีฝีมือเก่งกาจไม่เบา หากสู้กับตนเพียงไม่กี่คน ตนเชื่อว่าคงสามารถพิชิตได้ไม่ยากเย็นนัก แต่หากพวกมันก่อตั้งค่ายกลสะกดฟ้าหรือมีจอมเฒ่าพู่กันเหล็กเพิ่มมาอีกคน ตนยังไม่มีความมั่นใจว่าจะรับมือได้หรือไม่เลย และมิรู้ว่าในนคราฯแห่งนี้ยังจะมียอดฝีมือล้ำเลิศซุกซ่อนอีกมากน้อยเท่าใดอีก ทำให้ปวยเอ็งอดต้องทอดถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว จนเซาะอี่ที่อยู่ด้านข้างกายสังเกตพบ แต่นางเข้าใจผิดคิดว่าปวยเอ็งเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง จึงกล่าวปลอบปวยเอ็งว่า
ตั่วกอมิต้องกังวลเหตุการณ์ล่วงหน้าหรือเป็นห่วงตัวข้าให้มากไป จะเป็นหรือตายอยู่ที่ฟ้าลิขิต คิดกังวลมากความรังแต่ทอนความฮึกเหิมของตนเองเสียเปล่า ค่อยพลิกแพลงตามแต่สถานการณ์เถอะ แต่ถ้าเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงใดขึ้นจริงๆให้หลบหนีไปก่อนได้ โดยไม่ต้องห่วงข้า ข้าไม่มีทางคิดตำหนิท่านแน่นอน
ปวยเอ็งนึกขบขันขึ้นในใจ แต่คร้านที่จะอธิบายให้มากความ จึงกล่าวตัดบทด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
จงเชื่อฟังคำสั่งข้าโดยเคร่งครัด คอยอยู่ใกล้ๆตัวข้าไว้ มีเรื่องอันใดปล่อยให้ข้าจัดการเอง
นางยิ้มขอบคุณอย่างอ่อนหวานน่ารัก อันที่จริงปวยเอ็งอยากออกมาเพียงคนเดียว แต่ก็เป็นห่วงถ้าทิ้งนางไว้คนเดียวและอีกอย่างนางเป็นเจ้าของเงินทองจำเป็นต้องใช้จ่ายแน่นอนจำต้องพานางมาด้วย และที่สำคัญนางคงยืนกรานติดตามมาแน่ ดังนั้นด้วยข้อสรุปทั้งมวลคือต้องไปด้วยกัน ปวยเอ็งเป็นคนเช่นนี้เอง หากรู้ว่าอย่างไรจะเกิดขึ้น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆปวยเอ็งไม่เคยขัดใจใครโดยเด็ดขาด
ปวยเอ็งตกลงที่จะเดินเข้าไปในบ่อนพนัน จึงต้องกำชับนางอีกครั้งหนึ่งว่าห้ามก่อเรื่องโดยเด็ดขาดซึ่งนางก็ยอมรับปากแต่โดยดี แต่ปวยเอ็งดูออกว่าเนื้อแท้ของนางใช่จะเป็นคนยอมอะไรใครง่ายๆทั้งดื้อรั้นและอารมณ์ร้อนเหมือนกัน แต่ที่ยอมเชื่อฟังปวยเอ็งอย่างว่าง่ายเป็นเพราะกลัวปวยเอ็งจะไม่พามาด้วยต่างหาก
ปวยเอ็งลอบสังเกตทางเข้าและรอบบริเวณหมู่ตึกสำราญอย่างละเอียด เห็นคนส่วนใหญ่มักพากันเดินเข้าไปทางบ่อนพนันมากกว่า มีเป็นเพียงบุรุษกลุ่มน้อยเท่านั้นที่เลือกเดินเข้าเหลาสุราและหอนางโลมโดยตรง เมื่อเดินเข้ามาในตึกบ่อนพนันต้องแปลกใจมิใช่น้อย ที่มีขนาดห้องโถงใหญ่โตมาก มีโต๊ะพนันใหญ่น้อยหลายสิบโต๊ะ มีการเล่นพนันแทบทุกประเภทที่มีตามบ่อนพนันทั่วไป แม้ห้องจะมีขนาดใหญ่โตมากแต่ตอนนี้เต็มไปด้วยเหล่านักพนันทั้งชายหญิงหนุ่มสาวคนชราหลายร้อยคนต่างส่งเสียงกันเซ็งแซ่ดังวุ่นวายสับสนไปหมด ทุกคนล้วนมุ่งสนใจแต่โต๊ะพนันของตนเอง ปวยเอ็งจึงค่อยๆพาเซาะอี่เดินสำรวจรอบห้องโถงนั้นอย่างช้าๆไม่ให้เป็นพิรุธ พลางคอยเงี่ยหูฟังการสนทนาตลอดเวลา หลังจากเดินจนครบรอบห้องปวยเอ็งสังเกตเห็นว่ายังทางขึ้นไปชั้นบนได้อีกสองชั้น แต่หน้าบันไดทางขึ้นกลับมีนักบู๊พิทักษ์นคราฯยืนเฝ้าอยู่สี่คน และตามระเบียงด้านบนก็มีนักบู๊ยืนเฝ้าอยู่เป็นระยะหลายคนมากผิดปกติ มีคนเดินขึ้นไปบ้างแต่เพียงไม่กี่คน
ปวยเอ็งจึงแกล้งเดินเข้าไปถามนักบู๊ที่ยืนอยู่หน้าบันไดว่า
ตั่วกอท่านนี้…มิทราบที่ชั้นบนมีการละเล่นอันใด?
นักบู๊พิทักษ์นคราฯที่ยืนอยู่ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า
ชั้นบนมีอีกสองชั้น สำหรับนักพนันที่มือหนักหรือต้องการเดิมพันพิเศษพิสดารเท่านั้น ถ้าไม่ประสงค์จะขึ้นไปเล่นห้ามขึ้นไปรบกวนเด็ดขาด
ปวยเอ็งแกล้งยิ้มรับเจื่อนๆ แล้วถอยกลับไปหาเซาะอี่ แล้วทำทีเข้าไปเล่นที่โต๊ะพนันสูงต่ำที่ใกล้บริเวณทางขึ้นบันไดเพื่อหวังคอยสังเกตการณ์
เพื่อไม่ให้เป็นการผิดสังเกตปวยเอ็งจึงให้เซาะอี่เล่นเดิมพันสูงต่ำที่โต๊ะนั้นตามใจชอบ ส่วนตนเองจะคอยเฝ้าสังเกตการณ์ หลังจากเฝ้าสังเกตมาหลายชั่วยามพบว่า สถานที่ชั้นบนน่าสงสัยที่สุด เพราะเห็นแต่มีหลายคนที่เดินขึ้นไปแต่ยังมิมีผู้ใดกลับลงมาสักคน ซึ่งทุกคนล้วนเป็นชาวบู๊ลิ้มที่มีฝีมือสูงส่งไม่น้อย สังเกตได้จะท่วงท่าการเดินขมับสูงเด่นเห็นชัดและอาวุธที่พกพามาด้วย มีหลายคนที่ปวยเอ็งรู้ประวัติความเป็นมา ปวยเอ็งพยายามเงี่ยหูฟังว่ามีเสียงอันใดเล็ดลอดมาจากชั้นบนหรือไม่ มีทางออกด้านอื่นอีกไหม? หรือพวกนั้นเล่นพนันติดพันกันอยู่ ตั้งใจจะเล่นกันถึงรุ่งเช้า? หรือมีเหตุผลความลับใดอื่นอีก สร้างความหงุดหงิดในใจของปวยเอ็งไม่น้อย เพราะจนถึงขณะนี้ที่ชั้นบนทุกอย่างดูเงียบสงบเรียบร้อยดี นอกจากชั้นล่างที่ตนอยู่มีเสียงดังวุ่นวายไม่ขาดสายเลย ทันใดนั้นปวยเอ็งถึงกับใจหายวูบ เพราะมัวแต่ทุ่มเทเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ จนลืมนึกถึงเซาะอี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างใกล้ๆเพราะนางเคยบอกว่านางไม่เคยเล่นการพนันมาก่อนเลยในชีวิต ปานนี้มิใช่เล่นพนันจนหมดตัวเสียแล้วหรือ เมื่อนึกขึ้นได้รีบมองหาเซาะอี่อย่างรวดเร็ว เห็นเซาะอี่ยืนอยู่ถัดไปกำลังส่งเสียงร้องตะโกนตามนักพนันในโต๊ะ แล้วผลักเงินที่กองอยู่ที่หน้าตักของนางทั้งหมดไปแทงที่แต้มสูง โดยมีนักพนันรอบโต๊ะต่างพากันแทงตามนางกันทั้งหมด เห็นฝ่ายเจ้ามือที่คว่ำถ้วยครอบลูกเต๋าอยู่มีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก เหล่านักพนันรวมทั้งเซาะอี่ล้วนส่งเสียงร้องดังว่า “สูง” ดังจนแทบกลบเสียงทุกโต๊ะ พอเจ้ามือเปิดถ้วยออกมาลูกเต๋าสามลูกรวมกันเป็นแต้มสูงจริงๆ เสียงเฮออกมาดังสนั่นห้องโถงที่ใหญ่โตแล้วยังแทบถล่มทลายลงมาทีเดียว นักพนันทุกคนต่างดีใจกันยกใหญ่
ที่แท้ระหว่างที่ปวยเอ็งมั่วแต่สังเกตการณ์อยู่นั้น เซาะอี่ที่ไม่เคยเล่นการพนันมาก่อน ก็เริ่มแทงทีละน้อยทีละน้อยมาโดยตลอด แต่ปรากฏว่าส่วนใหญ่จะเป็นฝ่ายชนะเจ้ามือมาโดยตลอด จนเมื่อไม่นานมีนักพนันที่เล่นเสียคนหนึ่งสังเกตเห็นเข้าก็เริ่มแทงตามเซาะอี่บ้างจนตอนนี้ได้เงินคืนจากที่เสียไปทั้งหมดแล้วได้กำไรอีกเกือบเท่าตัว จึงเชื้อเชิญให้คนอื่นลองแทงตามดูบ้าง ปรากฏว่าชนะติดต่อมาห้าครั้งแล้ว จนกระทั่งตานี้ทุกคนคะยั้นคะยอให้เซาะอี่เทหมดหน้าตัก เซาะอี่ที่ไม่เคยเล่นเมื่อเล่นได้ยิ่งคึกคะนองแทงหมดหน้าตักจริงๆ ผลออกมาชนะเป็นตาที่หกติดต่อกันแล้ว นักพนันเหล่านั้นส่วนใหญ่เสียกันมามากมายแล้ว เมื่อต่างได้ทุนคืนบางคนถึงกลับมีกำไรมากมายจึงพากันยกย่องเซาะอี่เป็นเทพธิดานำโชคกันยกใหญ่ สร้างความยินดีแก่นางจนยิ้มหัวเราะตลอดเวลาไม่หุบปากเลย ขณะที่เจ้ามือขานให้นักพนันลงเงินเล่นตาต่อไป ปวยเอ็งรีบเข้าไปประชิดนางแล้วกระซิบเบาๆว่า
กลับได้แล้ว
แต่เซาะอี่ที่กำลังเล่นติดลมอยู่ ส่งเสียงตอบออกมาว่า
ตั่วกอ…ขอข้าเล่นต่ออีกสักสิบตาค่อยกลับได้ไหม?
โดยไม่สนใจคำตอบจากปวยเอ็ง ทำท่าจะหยิบเงินแทงลงไป ปวยเอ็งรีบใช้มือกดพร้อมกับส่งสายตาที่ดุร้ายและเฉียบขาด ทำให้เซาะอี่ต้องสะท้านกายเล็กน้อย ก้มหน้าก้มตาเก็บเงินตรงหน้าตักนางใส่ถุงแพร แล้วรีบหันกายเดินตามปวยเอ็งออกมาทันที แต่เหล่านักพนันรอบโต๊ะที่ตอนนี้คล้ายยึดถือนางเป็นเทพธิดานำโชคไปแล้ว ต่างพยายามส่งเสียงคัดค้านหวังรั้งให้นางอยู่เล่นต่อ เซาะอี่จำต้องรีบแก้ตัวและส่งเสียงบอกทุกคนว่า
พอดีข้ารู้สึกปวดศีรษะทำท่าคล้ายจะเป็นไข้ จำต้องขอตัวกลับก่อน ถ้าพรุ่งนี้อาการดีขึ้นข้าจะกลับมาร่วมเล่นพนันกับพวกท่านอีก ขอให้ทุกท่านโชคดี
กล่าวจบรีบหันหลังกลับวิ่งตามปวยเอ็งออกไปทันที ซึ่งปวยเอ็งล่วงหน้าไปก่อนแล้วโดยไม่ยินยอมรอคอยนาง