บทที่ 4 โรงเตี้ยมสุขสราญ
นี่…คือสิ่งที่ปวยเอ็งเกรงกลัวมากที่สุด แต่จำต้องกล่าวตอบไปด้วยมารยาทว่า
เรื่องเมื่อครู่เป็นเพียงเหตุบังเอิญ โกวเนี้ยท่านมิต้องจดจำใส่ใจ ข้ามีเรื่องด่วนต้องรีบไปกระทำต้องขอตัวก่อน
ปวยเอ็งรีบกล่าวตัดบท พลางรีบเดินหนีจากไป แต่นางหายอมให้ปวยเอ็งเดินหนีไปโดยง่าย พลางขยับไปขวางทางอีกพร้อมกับรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงอย่างอ้อนวอนว่า
อย่างน้อยก็ให้เกียรติข้าได้มีโอกาสเลี้ยงขอบคุณท่านสักมื้อ คงไม่ทำให้ท่านต้องเสียเวลามากนัก
ปวยเอ็งอึ้งเล็กน้อย พลางแอบกวาดตามองไปรอบกาย พบว่าเริ่มมีคนสังเกตมาทางตนบ้างแล้ว จึงจำต้องรีบคล้อยตามนางเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจไปมากกว่านี้ โดยรีบกล่าวว่า
แล้วแต่โกวเนี้ยท่านสะดวก
เรียกข้าว่า…เซาะอี่ ดีกว่าจะได้ฟังดูสนิทสนมกันเอง ส่วนข้าขอเรียกท่านว่า…เอ็งกอ แล้วกัน
ปวยเอ็งได้ยินดังนั้นถึงกับหัวใจตกวูบ แสดงว่านางได้ยินคำสนทนาของเขากับจอมเฒ่าพู่กันเหล็กและนางต้องพอรู้เรื่องราวในยุทธ์จักรมิใช่น้อยจึงรู้จักชื่อแซ่ฉายาของตนเป็นอย่างดี ขณะที่อึ้งไปไม่รู้จะตอบโต้อะไรกับนาง เซาะอี่พลันสะอึกเข้ามาคล้องแขนปวยเอ็งอย่างสนิทสนม พลางฉุดลากปวยเอ็งเดินต่อไปอย่างคนที่สนิทสนมคุ้นเคยกัน
เนื่องจากเป็นเวลาสายมากแล้ว แต่ยังห่างจากเวลาเที่ยงอีกช่วงหนึ่ง นางจึงไม่รีบร้อนเร่งก้าวเท้าเดินไปแต่อย่างใด นางเที่ยวชมดูเลือกซื้อสิ่งของต่างๆตามสองข้างทางที่เต็มไปด้วยร้านรวงมากมายอย่างสนุกสนาน ซึ่งก็ยังมีชาวเมืองเดินจับจ่ายเดินซื้อข้าวของกันจอแจอยู่หนาตา ตอนนี้ดูนางร่าเริงมากคล้ายลืมเลือนเรื่องเลวร้ายที่ผ่านมาเมื่อครู่จนหมดสิ้น ระหว่างทางก็ชวนปวยเอ็งดูสิ่งของและพยายามสนทนาด้วยตลอดทาง แต่ดูเหมือนปวยเอ็งจะไม่รู้สึกสนุกไปกับนางด้วยสักเท่าใด ด้วยต้องคอยระแวงสอดส่ายสายตากลัวพบเจอคนรู้จักหรือแม้กระทั่งเจ้าหนี้หรือคนที่คอยตามล่า
การแต่งกายของปวยเอ็งดูซอมซ่อสกปรกขัดกับเซาะอี่ที่อาภรณ์สีสดใสแม้จะดูมอมแมมไปบ้าง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครารกรุงรังผมเผ้ากระเซิงไม่ได้มีการสางผมเลย ผิดกับเซาะอี่ที่แม้จะดูสกปรกไปบ้างแต่มีเค้าของการจัดการแต่งตัวมาอย่างดี ปวยเอ็งได้สูดกลิ่นหอมจากกายของเซาะอี่ตลอดทาง จน รู้สึกรังเกียจตัวเองขึ้นมาที่ทั้งสกปรกและมีกลิ่นตัวเหม็นมาก แต่นางยังคงคล้องแขนเดินคลอเคลียอยู่ใกล้ๆโดยไม่มีทีท่ารังเกียจเดียดฉันท์แม้แต่น้อย ทำให้ปวยเอ็งที่คิดจะสลัดนางออกไปให้ห่างตนเองไม่กล้าพอที่จะทำร้ายจิตใจของนาง แม้ว่านางจะเสแสร้งหรือไม่ก็ตาม เพราะปวยเอ็งมีหลักการอย่างหนึ่งว่า…สำหรับคนที่ให้เกียรติและไม่รังเกียจตน ตนจะมีความเกรงใจตอบเป็นพิเศษ เพราะที่ผ่านมามันเผชิญกับการรังเกียจเดียดฉันท์และดูถูกดูหมิ่นดูแคลนจากสหายชาวบู๊ลิ้มที่เคยรู้จักกันมาโดยตลอด จนบัดนี้แถบไม่หลงเหลือแม้แต่คนเดียว มันจึงทะนุถนอมมิตรภาพและน้ำใจของผู้อื่นที่หยิบยื่นให้แก่มันแม้จะเพียงน้อยนิดก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตามมันไม่ลืมภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ตั้งใจมากระทำในนครากลืนวิญญาณเด็ดขาด ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีลู่ทางที่จะเดินต่อ ก็ขอเดินสำรวจสภาพทั่วไปในนคราฯก่อนก็ยังไม่เสียเวลาเปล่าแต่อย่างใด อีกทั้งเซาะอี่แม้จะชวนสนทนาตลอดทาง ก็ไม่เคยมีคำถามละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของมันแต่อย่างใด มีแต่ชวนคุยแต่เรื่องไร้สาระทั่วไปเท่านั้น
ในขณะที่ปวยเอ็งกำลังคิดคำนึงอยู่นั้น พลันได้ยินเสียงของเซาะอี่เอ่ยขึ้นว่า
เอ็งกอ เบื้องหน้าพวกเราเป็นเหลาสุราอาหารและโรงเตี้ยม ข้าคิดว่าพวกเราเข้าไปพำนักอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน จากนั้นค่อยออกมารับประทานอาหารดีหรือไม่
ปวยเอ็งได้ยินดังนั้นต้องสะดุ้งเล็กน้อย แล้วกัดฟันพูดออกมาว่า
ข้า…ไม่มีเงินทองเพียงพอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายใดๆ ยังคงให้เจ้าเข้าไปพำนักเองเถอะ ข้าจะยืนรออยู่แถวนี้เอง
มันกล่าวโดยที่ในใจของมันปวดร้าวยิ่งที่ต้องเสื่อมเสียหน้าต่ออิสตรีแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จัก ถ้าเป็นเมื่อก่อนค่าใช้จ่ายเหล่านี้ล้วนเล็กน้อยยิ่ง… แต่ตอนนี้พญาเหยี่ยวอหังการที่เคยหยิ่งยโสโอหังมีเงินเพียงสามอีแป๊ะ…ทุเรศสิ้นดี! โชคดีอยู่นิดหนึ่งที่มันพอทำใจได้นานแล้ว
แต่เซาะอี่กลับตอบด้วยน้ำเสียงจริงใจและจริงจังว่า
ตัวข้าพอมีเงินทองมากพอสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับพวกเราทั้งสองคน ขออย่าได้เป็นกังวลเลย ท่านมีพระคุณเสี่ยงชีวิตช่วยข้าโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ ไม่เคยซักถามเรื่องราวของข้าแต่ประการใดว่าผิดถูกอย่างไรจึงถูกตามล่ามาจนถึงที่นี่ ท่านเคารพเรื่องส่วนตัวของข้า ข้าก็เคารพเรื่องส่วนตัวของท่าน ตัวข้าต่างหากที่ต้องพึ่งพิงท่าน เพราะข้ามิรู้จักผู้ใดเลยในนคราฯแห่งนี้ อีกเจ็ดวันหุบเขาสัตว์ร้ายก็จะยกกำลังมาจับตัวข้า ปานนี้รอบๆนคราฯแห่งนี้พวกมันคงปิดกั้นเส้นทางออกไว้หมดแล้ว ข้าไม่มีที่พึ่งจริงๆ ตอนนี้มีแต่ได้อยู่ใกล้ๆกับท่านเท่านั้นข้าจึงรู้สึกปลอดภัยขึ้น แม้ว่าต่อไปภายภาคหน้าท่านจะไม่แยแสข้าอีกก็ตาม…
กล่าวถึงตอนท้ายเซาะอี่ถึงกับมีน้ำตาคลอที่เบ้าตาคล้ายจะไหลรินออกมา
ปวยเอ็งต้องนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจออกมากล่าวว่า
ตัวของข้าเองก็มีปัญหาใหญ่หลวง อาจจะมากมายกว่าเจ้าหลายเท่านัก การที่อยู่ร่วมกับข้าอาจจะทำให้เจ้าได้รับอันตรายไปด้วยก็ได้
เซาะอี่รีบเช็ดน้ำตาที่กำลังจะออกมาแล้วกล่าวตอบว่า
พวกเรามีวาสนาได้คบหาเป็นสหายกันในยามยาก อาจจะเป็นลิขิตของฟ้าก็เป็นได้ ต่างฝ่ายต่างจะได้คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ท่านมีฝีมือสูงส่ง ส่วนข้าพอช่วยเหลือสนับสนุนเรื่องเงินทอง ในนครากลืนวิญญาณแห่งนี้เราทั้งคู่ต่างไม่เคยย่างกรายกันมาก่อน ล้วนเป็นคนแปลกหน้าสำหรับที่นี่ ดังนั้นการอยู่ร่วมกันของพวกเราอาจจะช่วยกันฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคของพวกเราทั้งสองได้
เอ่ยถึงตอนท้ายนางที่ยังเป็นโกวเนี้ยอยู่ต้องหน้าแดงขึ้นวูบหนึ่ง แต่ปวยเอ็งที่บริสุทธิ์ใจกลับมิได้สนใจเรื่องเหล่านั้นเพียงใคร่ครวญคำพูดของเซาะอี่อย่างมีเหตุผลว่า
สิ่งที่นางพูดออกมามีเหตุผลทีเดียว แสดงถึงว่านางเป็นสตรีที่มีประสบการณ์และสติปัญญาเฉลียวฉลาดเกินวัยของนาง หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่หน้าประตูนคราฯเมื่อครู่กลับไม่เห็นว่าในนคราฯจะมีความแตกตื่นแต่ประการใดคล้ายเป็นเรื่องปกติธรรมดา แสดงว่าในนคราฯแห่งนี้จะต้องมีความลับที่ยิ่งใหญ่ใดซ่อนอยู่เป็นแน่ เพราะสภาพในนคราฯที่สังเกตเห็นตอนนี้มิมีสิ่งใดที่ผิดปกติแม้แต่น้อย ถ้าไม่นับเรื่องที่พบเจอยอดฝีมือในอดีตที่มีฝีมือสูงส่งมากอย่างจอมเฒ่าพู่กันเหล็กและความสามารถอันเก่งกาจของเหล่านักบู๊พิทักษ์นคราฯ ดังนั้นความเคลื่อนไหวใดๆของมันย่อมต้องระมัดระวังอย่างรอบคอบค่อยกำหนดแผนการเคลื่อนไหวและต้องใช้เวลาระยะหนึ่งไม่อาจรีบร้อนได้ จึงจำเป็นต้องมีเงินทองจำนวนหนึ่งสำหรับใช้จ่ายในดำรงชีพประจำวัน
ปวยเอ็งหลังจากใคร่ครวญอย่างรอบคอบจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและจริงจังว่า
เซาะอี่…เจ้ามีเงินทองมากพอสำหรับค่าใช้จ่ายกินอยู่ของพวกเราสองคน?
เซาะอี่รีบยิ้มรับอย่างอ่อนหวานและกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังและจริงใจว่า
ข้ามีเงินทองอยู่จำนวนหนึ่งและตั๋วแลกเงินหลายใบ เพียงพอให้พวกเราอยู่กันอย่างสะดวกสบายที่นี่ได้หลายเดือน
ปวยเอ็งเมื่อได้ยินคำตอบของนางก็พอใจ แต่ยังคงแสร้งถามนางต่อไปอีกว่า
ข้ากับเจ้าเพิ่งพบปะกันโดยบังเอิญไม่นาน เจ้ากล้าไว้วางใจอยู่ร่วมกับข้า โดยไม่กลัวว่าข้าจะคิดร้ายกับเจ้าในภายหลังหรือ?
ท่านมีพระคุณช่วยชีวิตข้าไว้โดยไม่ห่วงชีวิตตนเอง ต่อให้ภายหลังท่านทำร้ายข้า ข้าก็ไม่มีทางตำหนิท่านโดยเด็ดขาด และอีกประการหนึ่งที่สำคัญ…คนประเภทที่กล้าเสี่ยงชีวิตตนเองเข้าช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แม้กระทั่งคำขอบคุณ ย่อมมิใช่คนประเภทที่จะทำร้ายผู้อื่นได้โดยง่ายดายแน่นอน
คราวนี้ปวยเอ็งต้องนิ่งอึ้งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จึงระบายลมหายใจออกมาพร้อมกับกล่าวออกมาว่า
ตกลง พวกเราอยู่ร่วมกันได้
เมื่อพูดจบพลันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเซาะอี่เป็นอิสตรี ชายหญิงที่ไม่ได้แต่งงานกันมิอาจอยู่ร่วมกันได้ ต้องหน้าแดงขึ้นทันที
เซาะอี่ย่อมเข้าใจสาเหตุที่ปวยเอ็งหน้าแดงขึ้นมา จึงสัพยอพูดออกมาว่า
เมื่อครู่ข้าอุตส่าห์กล่าวยกย่องท่านคล้ายกับเป็นวีระบุรุษผู้กล้า คิดมิถึงกลับมีความคิดบัดสีได้…คิก…คิก…
นางหัวเราะออกมาอย่างขบขัน จนปวยเอ็งมิรู้จะแก้ตัวอย่างไรดี แต่แล้วนางพลางลดเสียงกล่าวเบาๆออกมาว่า
และเพื่อจะมิให้เป็นที่สงสัยแก่คนอื่นมากนัก พวกเราคงต้องเสแสร้งเป็นคนรักกันจริงๆ เพื่อตบตาคนอื่นจึงจะเป็นการดีที่สุด
ปวยเอ็งนับว่ารู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับนางจริงๆ แต่หวนนึกดูว่าตนเป็นบุรุษไม่มีทางเสียเปรียบแน่นอน มีแต่นางที่เป็นอิสตรีจึงเสียเปรียบกว่าและที่สำคัญตนยังไม่มีหนทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ จำต้องเสี่ยงโชควาสนาแล้วจริงๆ
จากนั้นทั้งคู่ก็สาวเท้าก้าวเดินพร้อมกันเข้าไปที่โรงเตี้ยมขนาดใหญ่เบื้องหน้าทันที เหนือประตูทางเข้าเขียนชื่อด้วยอักษรขนาดใหญ่ว่า “โรงเตี้ยมสุขสราญ” ฟังดูเป็นชื่อโรงเตี้ยมพื้นเพทั่วไป แต่พอสาวเท้าผ่านเข้าไปแล้วพบว่าภายในกลับตกแต่งได้วิจิตรตระการตามิใช่น้อย คอกเสมียนใหญ่โตมีการแกะสลักจากช่างมีฝีมือ ผนังห้องมีภาพวาดโบราณทรงคุณค่าแขวนอยู่มากมาย ประดับประดาด้วยผ้าม่านมีพู่ห้อยสวยงาม จัดวางแจกันและเครื่องใช้โบราณตามทางเดิน
ด้านขวามือมีทางเดินเชื่อมไปสู่เหลาสุราอาหาร ด้านซ้ายมือเป็นทางเดินสู่ที่พักอาศัยแยกสัดส่วนกันเป็นอย่างดี ตามทางเดินทั้งด้านซ้ายขวามีการจัดแต่งสวนปลูกต้นไม้ มีภูเขาจำลอง เต็มไปด้วยไม้ดอกนานาพันธุ์หลากหลายชนิดส่งกลิ่นหอมชื่นใจไปทั่วบริเวณและมีเก๋งหลังเล็กสำหรับนั่งพักผ่อนที่ถูกจัดสร้างไว้อย่างสวยงาม ไม่แพ้โรงเตี้ยมชั้นเลิศที่เมืองหลวงทีเดียว มีผู้รับใช้ออกมาต้อนรับพาไปพบเสมียน เซาะอี่เป็นผู้ลงบัญชีเปิดห้องพักเอง แต่เหมือนโดนสวรรค์กลั่นแกล้งมีห้องพักเหลือเพียงห้องเดียวเท่านั้น ปวยเอ็งรีบดึงชายเสื้อเซาะอี่เบาๆเป็นการบอกใบ้ให้เปลี่ยนไปหาที่พักที่โรงเตี้ยมอื่นแทน ขณะที่เซาะอี่กำลังจะบอกปฏิเสธ เสมียนโรงเตี้ยมนั้นรีบกล่าวทันทีว่าโรงเตี้ยมใหญ่น้อยในนคราฯล้วนมีผู้จับจองเข้าไปพำนักจนเต็มหมดแล้ว มิทราบว่าด้วยเหตุผลกลใดในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมามีชาวบู๊ลิ้มมากมายเดินทางเข้ามาพำนักอยู่ที่นี่โดยไม่ยอมจากไป ทำให้ที่พักทุกแห่งล้วนเต็มทั้งหมด ที่ทราบข้อมูลเหล่านี้ก็เพราะว่ากิจการโรงเตี้ยมทั้งหมดในนคราฯล้วนเป็นกิจการของนครากลืนวิญญาณแต่เพียงผู้เดียวทั้วสิ้น จึงมีการสื่อสารข้อมูลข่าวสารกันได้โดยตลอดเวลา ปวยเอ็งเมื่อฟังดังนั้นก็พยักหน้าให้เซาะอี่เปิดห้องพักทันทีโดยไม่รีรอ จากนั้นผู้รับใช้ก็เดินนำทั้งสองคนไปส่งที่ห้องพักซึ่งอยู่ด้านซ้ายมือบนชั้นสองห้องสุดท้ายสุดทางเดิน
เมื่อทั้งคู่เข้าไปในห้องพัก จึงพบว่าเป็นห้องขนาดใหญ่ มีเตียงนอนขนาดใหญ่มีฟูปูรองนอนกว้างพอสำหรับคนสองคนนอนกันได้อย่างสบาย มีโต๊ะไม้ขนาดเล็กพร้อมเก้าอี้นั่งจัดวางไว้กลางห้อง มีห้องอาบน้ำและสุขาส่วนตัวด้วย ภายในห้องตกแต่งได้อย่างหรูหราลงตัว นับว่าสมราคาคืนละห้าตำลึงจริงๆ เพราะด้วยสภาพของห้องพักแบบนี้ที่เมืองหลวงยังราคาแพงกว่านี้มากนัก ด้านข้างยังมีหน้าต่างสามารถออกไปเห็นถนนทางเดินที่หน้าโรงเตี้ยมได้ ปวยเอ็งรู้สึกพอใจกับทำเลของห้องพักยิ่งนัก เมื่อสำรวจทั่วห้องแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า
เซาะอี่เจ้าเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
กลับเป็นเซาะอี่ที่ตอบว่า
ยังคงเป็นท่านที่เป็นบุรุษอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้รวดเร็วกว่าเชิญก่อน
พลางหยิบเสื้อผ้าบุรุษที่นางเลือกซื้อมาระหว่างทางออกมาหลายชุดส่งให้ปวยเอ็ง แล้วกล่าวต่ออีกว่า
ตั่วกอ…ท่านลองเลือกใส่ดูว่าพอดีหรือไม่ ข้าเพียงกะขนาดรูปร่างของท่านด้วยสายตาเกรงว่าอาจจะไม่พอดีนัก และนี่เป็นของใช้ส่วนตัวของท่าน มีหวี มีดสำหรับโกนหนวด ฯลฯ
กล่าวจบนางก็หันไปก้มหน้าจัดการกับข้าวของที่ซื้อมา ปวยเอ็งถึงกับอึ้งไปกับความละเอียดอ่อนและน้ำใจของนางจนลืมกล่าวคำขอบคุณออกมา แต่ในใจนึกคำนึงขึ้นว่า
นี่…นางคงสังเกตเราออกแต่แรกแล้วว่าไม่เงินทองและข้าวของใช้ติดตัวมาเลย ระหว่างทางเราเองก็มัวแต่กังวลจะถูกผู้ใดพบเห็นเข้าจึงมิได้รู้สึกตัวเลยว่านางแอบซื้อของใช้ให้ตนตั้งแต่เมื่อใด นางช่างมีน้ำใจที่ดีงามนัก ขอบคุณมากจริงๆ
ปวยเอ็งจึงกล่าวว่า
ขอบคุณมาก
เซาะอี่หันมายิ้มรับอย่างอ่อนหวานน่ารักยิ่ง ปวยเอ็งเห็นดังนั้นถึงกับใจหายวาบ มันที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับอิสตรีมาโชกโชนย่อมเข้าใจความนัย แต่มันในสภาพสุนัขจนตรอกเช่นนี้ยังจะคิดอะไรได้ จึงรีบหันหลังกลับเข้าไปในห้องอาบน้ำทันที