บทที่ 3 นางแอ่นหิมะ
เสมียนเฒ่าเห็นดังนั้นรีบสั่งการทันทีว่า
เคลื่อนไหวค่ายกลสะกดฟ้า… “สะกดฟ้าเปลี่ยนเดือนดารา”
ขุมกำลังทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างดุเดือด คล้ายโกรธแค้นกันมาเป็นสิบปี เสียงของเสมียนเฒ่าและหัวหน้าตึกพยัคฆ์โหดต่างบงการขุมกำลังของตนเข้าต่อสู้กันอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันแม้แต่น้อย
“ดาวเดือนสลับตำแหน่งเปล่งประกาย”
“ฝูงพยัคฆ์ออกล่า”
“เดือนดาราฉายแสงประชันกัน”
“พยัคฆ์โหดตะปบเหยื่อ”
ขุมกำลังทั้งสองฝ่ายห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน เสมียนเฒ่าและหัวหน้าตึกพยัคฆ์โหดต่างบงการควบคุมการต่อสู้ของบริวารของตนเอง ต่างเปลี่ยนกลยุทธ์ต่อสู้กันตลอดเวลา มีผู้ได้รับบาดเจ็บก็ถูกสับเปลี่ยนออกไป ส่งบริวารคนใหม่เข้ามาทดแทนโดยต่างไม่ยอมยั้งมือหรือหยุดพักให้แก่กันและกัน ทำให้ผู้คนทั่วบริเวณนั้นต่างจดจ่อชมการต่อสู้อย่างลืมตัว แม้กระทั่งโกวเนี้ยนางนั้นก็ยังอดหยุดหันกลับไปชมการต่อสู้ไม่ได้เช่นกัน โดยไม่ทันระวังตัวว่ามีเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ที่สุดอีกตัวหนึ่งที่ไม่ได้ร่วมการต่อสู้กำลังแอบย่องเข้าหานางอย่างเงียบงัน จนได้ระยะที่เหมาะสมมันก็กระโจนเข้าใส่นางอย่างมุ่งร้ายทันที
ขณะนั้นเองปวยเอ็งที่อยู่ห่างไปช่วงหนึ่งสังเกตพบเห็นเข้าพอดี
โกวเนี้ย…ระวังด้านหลัง
ปวยเอ็งส่งเสียงร้องเตือนโกวเนี้ยนั้นจนเสียงหลง พร้อมทั้งทะยานร่างถลาร่อนเข้าหาพยัคฆ์ตัวนั้นด้วยท่าร่าง…พญาเหยี่ยวเหิรหาว อย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ พร้อมกับล้วงเอามีดน้อยเล่มเล็กออกมาจากอกเสื้อ เร่งเร้าพลังลมปราณทั้งหมดทิ่มแทงเข้าหานัยน์ตาข้างขวาของพยัคฆ์ร้ายตัวนั้นแต่ไกล คมมีดยังไม่ทันทิ่มแทงถึงเป้าหมายแต่พลังลมปราณที่แฝงมากับมีดน้อยนั้นพวยพุ่งออกมาถึงนัยน์ตาข้างขวาพยัคฆ์นั้น พยัคฆ์ตัวนี้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเมื่อรับรู้ถึงพลังที่พุ่งมาหมายทำร้ายมัน ร่างของมันที่กระโจนอยู่กลางอากาศพอดีก็เบี่ยงส่วนหัวของมันหลบมีดน้อยที่ทิ่มแทงหามัน แล้วตอบโต้กลับโดยการอ้าปากงับเข้าหาข้อมือที่กุมมีดน้อยของปวยเอ็งอย่างดุร้ายโหดเหี้ยม ปวยเอ็งคาดคำนวณไว้แต่แรกจึงลดข้อมือหลบคมเขี้ยวของพยัคฆ์ตัวนั้นได้อย่างหวุดหวิด จากนั้นพลันพลิกข้อมือจากทิ่มแทงเปลี่ยนเป็นกรีดเข้าใส่ลำคอพยัคฆ์ตัวนั้นแทน
แม้ว่ามันจะได้รับการฝึกฝนมาดีเพียงใดก็ตาม เดียรัจฉานย่อมมิอาจรู้เท่าทันความคิดเล่ห์กลอุบายของมนุษย์และมิอาจพลิกแพลงท่าร่างกลางอากาศได้เนิ่นนาน จึงถูกมีดน้อยกรีดเข้าที่ลำคอจนเป็นบาดแผลลึกและยาวกว่าหกนิ้วเศษ มันตกลงกระแทกสู่พื้นอย่างมิอาจควบคุมตัวเองได้ เสียงโครมดังสนั่นเมื่อร่างของมันกระทบพื้นพร้อมกับเสียงคำรามอย่างเจ็บปวดดังกังวานกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ จนทำให้การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายต่างหยุดชะงักลงโดยปริยาย และต่างหันกลับมามองต้นเสียงของเสียงคำรามนั้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปวยเอ็งอาศัยแรงดีดสะท้อนจากการกรีดต้นคอ พยัคฆ์ร้ายนั้นทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากว่าสองวา แล้วบิดทิ้งตัวกุมมีดน้อยพุ่งควงสว่านลงมาอย่างรวดเร็ว ด้วยกระบวนท่าไม้ตายของเพลงกระบี่พญาเหยี่ยว นามว่า…บินโฉบทะลวงเหยื่อ
กล่าวถึงพยัคฆ์ร้ายตัวนั้น เมื่อกระแทกลงสู่พื้นด้วยอาการบาดเจ็บไม่น้อยโลหิตกระฉูดออกจากบาดแผลเป็นระยะจนมันต้องคำรามกึกก้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างยิ่ง มันยิ่งเดือดดาลโกรธแค้นกระตุ้นสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่ดุร้ายขึ้น มันหันหน้ามองหาศัตรูที่ทำร้ายมันบาดเจ็บอย่างวุ่นวายแต่ไม่เห็นเงาร่างของปวยเอ็ง พอรู้สึกว่ามีพลังอันแหลมคมรุนแรงจู่โจมเข้าหามันจากเบื้องบน ต้องแหงนหน้าขึ้นมองด้วยสัญชาตญาณ แต่คิดจะกระโดดหลบก็จนใจ เนื่องจาก ปวยเอ็งจู่โจมลงมารวดเร็วจนเกินไป เดียรัจฉานเคราะห์ร้ายตัวนี้ได้แค่เงยหน้าเห็นประกายมีดน้อยเพียงวูบเดียวเท่านั้น มีดน้อยนั้นก็แทงทะลุเสียบเข้ากลางหน้าผากของมันจนมิดด้าม ผนวกกับพลังลมปราณที่แฝงมากับมีดน้อยเล่มนั้น พยัคฆ์ร้ายตัวนั้นล้มลงขาดใจตายทันที
เจ้าเหลืองใหญ่…
เสียงตะโกนด้วยความตระหนกเสียใจจากหัวหน้าตึกพยัคฆ์โหด มันคำรามด้วยความโกรธแค้นที่เห็นสัตว์เลี้ยงแสนรักของมันถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตา แต่ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงเป่าหลอดสัญญาณและเสียงกลองศึกดังกึกก้องออกมาจากในนครากลืนวิญญาณ ประตูทั้งสามบานพลันเปิดอ้าออก เห็นนักบู๊สวมเกราะเครื่องแบบของนครากลืนวิญญาณกว่าร้อยคนถืออาวุธครบมือวิ่งกรูกันออกมา ทำให้หัวหน้าตึกพยัคฆ์โหดที่แม้จะเป็นคนมุทะลุวู่วามก็จริง ยังต้องเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าว่ากำลังน้อยกว่ามาก สู้ไปก็เฉกเช่นเอาไข่ไปกระแทกหินหามีประโยชน์ไม่ จึงสั่งบริวารล่าถอยทันที แต่ไม่ลืมที่จะตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความอาฆาตมาดร้ายว่า
เรื่องราวในวันนี้ยังไม่จบง่ายดาย อีก 7 วันข้างหน้า คนของหุบเขาสัตว์ร้ายจะมาทวงเอียเท้านางนั้นคืนกลับไปให้จงได้ เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราคงได้เห็นดีกัน…พวกเรากลับ
พวกมันถึงกับถอยกลับอย่างรวดเร็วยิ่ง แต่ไม่ลืมพาคนเจ็บและซากศพของพยัคฆ์ที่ถูกฆ่าตายกลับไปด้วย
กองหนุนจากในนคราฯตั้งแถวหน้ากระดานห้าแถวเป็นระเบียบอย่างรวดเร็ว พร้อมรอรับคำสั่ง
เสมียนเฒ่าผู้นั้น รีบโบกมือแล้วสั่งการว่า
เรื่องราวสงบแล้ว ต่างกลับกันไปประจำหน้าที่เดิมในนคราฯได้ ข้าจะเป็นคนเข้าไปรายงานเจ้านคราฯทราบถึงเหตุการณ์ทั้งหมดเอง
กองหนุนจากในนคราฯเมื่อได้ยินคำสั่งจากเสมียนเฒ่าต่างแสดงคารวะ แล้วถอนตัวกลับเข้าไปในนคราฯอย่างรวดเร็วทันทีทันใด ส่วนนักบู๊สวมเกราะที่รักษานคราฯด้านนอก บางคนนำคนเจ็บเข้าไปรักษาในนคราฯ บางคนเก็บกวาดสถานที่ มีบางคนเสริมเข้ามาทดแทนคนที่บาดเจ็บ คนที่ปลอดภัยก็ยืนทำหน้าที่ต่อไป ทุกอย่างต่างปฏิบัติหน้าที่กันโดยไม่ต้องออกคำสั่งใดๆคล้ายได้รับการฝึกฝนการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆมาอย่างดีเยี่ยม ภายในเวลาอันรวดเร็วสภาพทุกอย่างคืนสู่สภาพเดิมคล้ายที่นี่ไม่เคยมีเหตุการณ์ใดเคยเกิดขึ้นมาก่อน เสมียนเฒ่าก็หันกลับไปนั่งที่โต๊ะลงทะเบียนดั่งเดิม ผู้คนที่กำลังจะเข้านคราฯก็ทยอยกันเดินเข้าประตูไป ส่วนคนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนก็มายืนต่อแถวตามเดิม ปวยเอ็งเห็นประสิทธิภาพอันเข้มแข็งเก่งกาจและความมีระเบียบวินัยเยี่ยงทหารในกองทัพของกองกำลังนครากลืนวิญญาณถึงกับสะท้านใจต้องส่ายศีรษะและลอบถอนหายใจออกมาอย่างลืมตัว จากนั้นรีบซุกเก็บมีดน้อยพยายามก้มหน้าเดินเลี่ยงผ่านด้านหลังของเสมียนเฒ่าที่นั่งลงทะเบียนเพื่อเข้าประตูนคราฯ พลันได้ยินเสียงของเสมียนเฒ่าเอ่ยขึ้นว่า
ที่แท้เป็น…พญาเหยี่ยวอหังการ…ปวยเอ็ง จึงมีฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ
ปวยเอ็งได้ยินดังนั้นต้องสะดุ้งเล็กน้อย หันกลับไปยิ้มรับอย่างเจื่อนๆด้วยความละอายใจที่ปกปิดชื่อแซ่แต่ยังถูกจดจำได้ แต่ด้วยมารยาทจำต้องกล่าวตอบโต้ไปบ้างว่า
จอมเฒ่าพู่กันเหล็ก…ม่อย้งเฮา ผู้อาวุโสก็มีความสามารถเป็นเลิศ จึงสามารถอบรมเหล่านักสู้ให้เคลื่อนไหวและเปล่งอานุภาพของค่ายกลสะกดฟ้าที่หายสาบสูญจากการถ่ายทอดมานานปีได้ร้ายกาจสมคำร่ำลือจริงๆ
เสมียนเฒ่าที่ก้มหน้ากล่าววาจาออกมา ต้องถึงกับเงยหน้ามอง พลางพยักหน้าเล็กน้อย พร้อมกับมีรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรขึ้นมาวูบหนึ่ง จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาจรดพู่กันลงทะเบียนต่อไป
ปวยเอ็งเห็นเช่นนั้นได้ก้มศีรษะให้อย่างนอบน้อม แล้วรีบเดินเข้าประตูนคราฯอย่างรวดเร็ว แต่พอก้าวเดินผ่านประตูบานที่สามเข้าไปในนคราฯได้ไม่กี่สิบก้าว พลันได้ยินเสียงตะโกนตามหลังมาว่า
ช่วยคนพึงช่วยถึงที่สุด จึงจะนับว่าเป็นวีรบุรุษผู้กล้าที่แท้จริง
เสียงดังมาจากปากโกวเนี้ยนางนั้นที่ปวยเอ็งพึ่งช่วยชีวิตมา นางมิเพียงแค่ส่งเสียงร้องเรียกแต่นางถึงกับวิ่งทะยานมายืนขวางหน้าปวยเอ็งไว้ และยังกล่าวต่ออีกว่า
ข้าน้อย…มีนามว่า…ปึงเซาะอี่ (นางแอ่นหิมะ) ขอขอบพระคุณที่ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ ไม่ทราบตั่วกอท่านนี้ พอจะแจ้งชื่อแซ่ให้ข้าได้จดจำไว้ใส่ใจได้หรือไม่