บทที่ 2 นครากลืนวิญญาณ
หลังจากนั้นรีบออกเดินทางเดินลัดเลาะไปตามลำธารมุ่งหน้าไปทางเทือกเขาตรงหน้า ตัดขึ้นไหล่เขาเปลี่ยนเป็นใช้เส้นทางหลักมุ่งสู่นครากลืนวิญญาณ เส้นทางหลักเป็นถนนทอดยาวคดเคี้ยวตามไหล่เขากว้างประมาณสามวาหรือรถเทียมม้าสองคันพอวิ่งสวนทางกันได้เท่านั้น มีระยะทางประมาณสามลี้เศษ ฝั่งด้านข้างซ้ายมือเป็นเหวลึกสูงชัน บางช่วงถึงกับมองไม่เห็นก้นเหว ฝั่งขวามือเป็นผนังหินผามีหน้าผาอยู่เบื้องบนสลับป่าทึบตลอดแนว ทางเดินมีลาดชันสูงต่ำสลับกันไป เป็นชัยภูมิที่เหมาะแก่การซุ่มโจมตีอย่างมาก ต่อให้มีทหารเป็นร้อยหมื่นคนก็ยากจะบุกฝ่าเส้นทางนี้ไปได้อย่างปลอดภัย เพราะปวยเอ็งสังเกตเห็นมีด่านซุ่มระวังเป็นระยะมีทั้งเปิดเผยและซ่อนเร้น บนหน้าผายังมีหอสูงสังเกตการณ์ระยะไกลตั้งอยู่เป็นระยะตลอดตามเส้นทางที่ผ่านมา นั่นหมายความว่าหากมีศัตรูผู้รุกรานบุกเข้ามาสามารถสังเกตเห็นได้ก่อนในระยะไกลอีกทั้งสามารถซุ่มโจมตีทำลายกำลังข้าศึกได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถส่งสัญญาณเตือนให้ผู้คนในนคราฯได้รู้ล่วงหน้าได้ทันมีเวลาเตรียมการต่อสู้หรือหลบหนี จึงไม่แปลกที่นคราฯแห่งนี้ดำรงอยู่ได้โดยปราศจากศัตรูผู้รุกรานมาหลายสิบปีแล้ว ทั้งที่อยู่ไม่ไกลจากชายแดนแผ่นดินตงง้วนและห่างไกลจากเมืองที่ใกล้ที่สุดกว่าหนึ่งร้อยลี้
หลังจากเดินมาประมาณครึ่งชั่วยาม ปวยเอ็งก็สามารถมองเห็นทางเข้าของนครากลืนวิญญาณได้แต่ไกล
ทางเข้าเจาะเป็นอุโมงค์ลอดภูเขาเข้าไป มีกำแพงเมืองสูงใหญ่สร้างปิดปากอุโมงค์ โดยมีประตูบานใหญ่สองบานสร้างจากไม้เนื้อแข็งที่หนาเกือบหนึ่งเชี๊ยะเปิดกว้างอยู่ ทำให้มองเห็นประตูบานที่สองที่กั้นปิดปากอุโมงค์และประตูบานที่สามที่ปลายอุโมงค์ด้านในซึ่งล้วนมีความหนาความแข็งแรงและขนาดไม่แตกต่างกันทั้งสามบาน ขณะนี้ประตูเปิดกว้างทั้งสามบาน แน่นอนประตูทั้งสามบานทั้งสูงใหญ่และมีน้ำหนักมากมีแต่ต้องใช้กลไกในการปิดเปิดเท่านั้น ในอุโมงค์มีแสงสว่างจากภายนอกส่องลอดเข้าไปได้ จึงพอมองเห็นและคาดคะเนความยาวของตัวอุโมงค์ได้ว่าประมาณสิบวา ที่หน้าประตู นคราฯ บนกำแพงเมือง ตลอดจนทางเดินลอดอุโมงค์ล้วนมีนักบู๊สวมชุดขาวรัดกุมใส่เกราะหนังถือทวนยาวและสะพายดาบกระบี่ครบมือดูน่าเกรงขามยืนรักษาการณ์ ปวยเอ็งลอบคำนวณในใจได้ประมาณสามสิบกว่าคน แต่ไม่รู้ว่าที่ซุ่มซ่อนอยู่ในช่องลับในอุโมงค์อีกเท่าใดหรือมีกับดักร้ายกาจใดซ่อนอยู่อีกมากน้อยในอุโมงค์
จากข้อมูลที่ปวยเอ็งสืบเสาะมาได้นั้น นครากลืนวิญญาณมีหุบเขาสูงล้อมรอบทั้งสี่ด้าน มีทางเข้าออกเพียงทางเดียวคือใช้ประตูทางเข้านคราฯนี้เท่านั้น นี่ถ้าปิดประตูนคราฯทั้งสามบานพร้อมกันต่อให้มีฝีมือสูงส่งเลิศล้ำสักเพียงใดก็ยากจะพังทลายหลบหนีออกมาภายนอกได้ ยิ่งมาเห็นกับตายิ่งรู้สึกหนักใจมิใช่น้อย ได้แต่ปลุกปลอบใจเข้าไปในนคราฯให้ได้ก่อน ค่อยกำหนดแผนการขั้นต่อไป
ในขณะที่คิดคำนึงในใจอยู่นั้น ก็ยังสาวเท้าก้าวเดินไม่หยุดยั้ง เงยหน้าอีกทีก็อยู่หน้าประตูนคราฯเสียแล้ว แลเห็นที่ผนังหน้าผาเหนือปากทางเข้ามีสลักชื่อว่า “นคราเสี่ยงโชคชะตา” แกะสลักบนหินเป็นตัวอักษรสวยงามขนาดใหญ่ ก่อนถึงประตูทางเข้ามีโต๊ะลงรายชื่อก่อนเข้านคราฯโดยมีเสมียนเฒ่ามีหนวดเครายาวสีขาวนั่งคอยจดบันทึกอยู่ มีผู้คนแต่งกายคล้ายชาวบ้านและพ่อค้าวานิชต่างแดนยืนต่อแถวอยู่ประมาณสิบกว่าคน ปวยเอ็งจึงเดินเข้าไปต่อแถวบ้าง พร้อมกับตบอกเสื้อเบาๆที่ตำแหน่งที่ซุกซ่อนมีดสั้นเล่มน้อยที่เหลือติดตัวเพียงชิ้นเดียวกับเศษเงินสองอีแป๊ะ และพยายามทำตัวเป็นปกติเช่นคนอื่น ในขณะที่ถึงลำดับของปวยเอ็ง เสมียนเฒ่าที่นั่งคอยจดบันทึกกำลังก้มหน้าก้มตาจรดพู่กันเขียนตัวหนังสืออยู่ ก็เอ่ยถามปวยเอ็งโดยมิได้เงยหน้าดูด้วยซ้ำว่า
ชื่อแซ่อะไร มาจากไหน?
ข้า…ซากอเอ็ง มาจากแดนกังหนำ
ที่ปวยเอ็งแจ้งชื่อแซ่ออกไปย่อมเป็นชื่อแซ่ปลอม แต่มาจากกังหนำกลับเป็นความจริง เพราะปวยเอ็งคิดไว้ก่อนแล้วว่าชื่อแซ่อาจปลอมแปลงปิดบังกันได้ แต่สำเนียงภาษาท้องถิ่นที่ใช้ยากจากปลอมแปลงได้ง่าย ขอเพียงเป็นผู้มีประสบการณ์ล้วนพอฟังออกว่าเป็นคนมาจากที่ใด
แต่ดูเหมือนว่าปวยเอ็งจะวิตกจนเกินไป เพราะเสมียนเฒ่าผู้นั้นหาได้มีปฏิกิริยาใดๆหรือแสดงท่าทีสนใจในตัว ปวยเอ็งแม้เพียงน้อยนิด ปวยเอ็งรู้สึกโล่งใจจนบอกไม่ถูก ขณะที่ปวยเอ็งกำลังเดินผละออกมาจากโต๊ะเสมียนและเสมียนเฒ่ากำลังสอบถามคนต่อไป พลันมีเสียงหวีดสัญญาณดังขึ้นมาแต่ไกลและมีเสียงหวีดสัญญาณดังรับช่วงดังใกล้เข้ามาจนถึงปากประตูนคราฯ ทำให้ทุกคนในบริเวณล้วนหันกลับไปมองดูตามทิศทางที่มีเสียงหวีดสัญญาณดังขึ้นมา เพียงครู่หนึ่งไม่นานนัก แลเห็นอิสตรีผู้หนึ่งรูปร่างหน้าตาสวยสะคราญน่ารักอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหกปี ใบหน้ามีอาการแตกตื่นลนลานอย่างเห็นได้ชัด กำลังวิ่งหนีเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่สามตัวและกลุ่มชายฉกรรจ์ที่แต่งตัวคล้ายเหล่าพรานป่ามีเสื้อคลุมหนังสัตว์ถืออาวุธต่างๆครบมือประมาณยี่สิบกว่าคน ที่มีท่าทีว่ากำลังไล่ล่าอย่างกระชั้นชิดหมายตามจับตัวอิสตรีนางนี้เป็นแน่ เสียงนางร้องดังขอความช่วยเหลือตลอดทางว่า
ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย พวกมันกำลังจะฆ่าคนแล้ว…
ทุกคนในบริเวณนั้นดูออกว่านางกำลังวิ่งหนีมุ่งตรงมาที่ประตูนคราฯ เพื่อขอความช่วยเหลือ และพยายามหนีเข้าไปในประตูนคราฯ ปวยเอ็งหันไปเห็นแล้ว แต่ต้องตัดใจไม่ขอยุ่งเกี่ยวเพราะกลัวเปิดเผยฐานะของตนเอง จึงพยายามรีบเดินเลี่ยงผ่านเข้าไปในนครากลืนวิญญาณให้เร็วที่สุด ในขณะที่นางวิ่งหนีมาห่างจากโต๊ะเสมียนประมาณสิบวานั้น เสมียนเฒ่าถึงกับลุกขึ้นยืนแล้วตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังกังวานว่า
นี่เป็นเขตของนครากลืนวิญญาณ(ผู้เขียนขออนุญาตใช้ชื่อนี้แทนนคราเสี่ยงโชคชะตาเพื่อมิให้ท่านผู้อ่านสับสน) มิว่าผู้ใดห้ามมาอาละวาดที่นี่ นักบู๊พิทักษ์นคราฯตั้งค่ายกลสะกดฟ้า…ป้องกันนคราฯจากผู้บุกรุกทั้งหลายเดี๋ยวนี้
สิ้นเสียงสั่งการจากเสมียนเฒ่า ปรากฏนักบู๊พิทักษ์นคราฯยี่สิบคนวิ่งออกมาแปรขบวนขยับทวนในมือวาดท่วงท่าเตรียมพร้อมตั้งค่ายกลสะกดฟ้าที่หน้าเสมียนเฒ่าทันที ส่วนคนที่เหลือตั้งเป็นแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่งอยู่ด้านหลังของเสมียนเฒ่าด้วยท่วงท่าที่เตรียมพร้อมขวางทางเข้าประตูนคราฯพอดี ทันใดนั้นประตูเข้าสู่นคราฯทั้งสามบานพลันปิดลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ทำให้ปวยเอ็งและคนที่จะเข้านคราฯต้องหยุดชะงักแล้วถูกกันให้ไปยืนรวมกันที่ด้านข้างกำแพงนคราฯอีกด้วย
อันที่จริงปวยเอ็งพอได้ยินชื่อ “ค่ายกลสะกดฟ้า” ก็ชักเท้าหยุดเดินตั้งแต่ต้นแล้ว ทั้งยังหันกลับไปเหลียวมองทันที ส่วนในใจคิดคำนึงขึ้นว่า
ฟังมาว่า ค่ายกลสะกดฟ้า เป็นค่ายกลที่ถูกดัดแปลงมาจากค่ายกลแปดทิศของท่านขงเบ้งกับค่ายกลกระบี่ห้าธาตุเก้าปราสาทของสำนักบู๊ตึง คิดค้นขึ้นโดยปรมาจารย์สำนักบู๊ตึงรุ่นที่10 ทรงพลานุภาพร้ายกาจยิ่ง ไม่ด้อยกว่าค่ายกลสิบแปดอรหันต์ของวัดเสียวลิ้มยี่แน่นอน เป็นค่ายกลที่หายสาบสูญไม่ปรากฏในบู๊ลิ้มหลายสิบปีแล้ว แม้แต่สำนักบู๊ตึงเองขณะนี้ยังไม่สามารถอบรมศิษย์ขึ้นมาเพื่อใช้ค่ายกลนี้ได้เลย คิดไม่ถึงว่าจะมีคนในนครากลืนวิญญาณที่ความสามารถฝึกคนและใช้ค่ายกลสะกดฟ้านี้ได้
เมื่อคิดดังนั้นปวยเอ็งจึงคิดอยากจะชมดูว่าค่ายกลสะกดฟ้าของนครากลืนวิญญาณจะมีประสิทธิภาพร้ายกาจสักเพียงใด
ยามนั้นโกวเนี้ยนางนั้นหยุดวิ่งยืนหอบหายใจอยู่ โดยหลบไปด้านข้างปล่อยให้ขุมกำลังทั้งสองเผชิญหน้ากัน ได้ยินเสียงหัวหน้าของกลุ่มคนที่ไล่ติดตามนางมา ซึ่งขณะนี้ก็หยุดชะงักเท้าเมื่อเห็นค่ายกลสะกดฟ้าตั้งขวางทางอยู่ว่า
ข้าคือหัวหน้าตึกพยัคฆ์โหดแห่งหุบเขาสัตว์ร้าย ได้รับคำสั่งจากเสี่ยวก๊กจู้(นายน้อยจ้าวหุบเขาฯ) ให้มาตามจับเอียเท้านางนั้น กลับไปให้ได้ ผู้ใดขัดขวางถือว่ามีเจตนาตั้งตัวเป็นศัตรูกับหุบเขาสัตว์ร้าย
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโอหังลำพองยิ่งนัก
เสมียนเฒ่าได้ยินดังนั้นถึงกับเลิกคิ้วสูงด้วยโทสะ แต่พยามยามกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ดังกังวานว่า
แต่ที่นี่คือดินแดนของนครากลืนวิญญาณ ไม่เคยอนุญาตให้ใครกล้าเข้ามากำแหงมาก่อน ถ้าพวกท่านยินยอมถอยกลับไปโดยดี ทางเราจะถือว่าไม่เคยมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นมาก่อน มิเช่นนั้นอย่าหาว่านครากลืนวิญญาณของเราไม่ให้เกียรติแก่หุบเขาสัตว์ร้ายของท่าน
อันที่จริงสามสถานที่ต้องห้ามของบู๊ลิ้ม ต่างมีขุมกำลังที่กล้าแข็งยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน และต่างฝ่ายต่างก็หวังเป็นใหญ่ในตงง้วนด้วยกัน แต่ติดตรงที่ว่ากลายเป็นขุมกำลังสามเส้าที่ถ่วงดุลกันอยู่เสมอมา เพราะกลัวว่าหากมีสองฝ่ายใดปะทะแตกหักกัน จะเปิดโอกาสให้ฝ่ายที่สามฉกฉวยโอกาสซ้ำเติมได้ ฉะนั้นต่างฝ่ายจึงพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะกันซึ่งหน้ากันมาตลอดเวลา ทำให้บู๊ลิ้มจึงยังคงสุขสงบมาได้โดยตลอด แต่ในข้อเท็จจริงแล้วต่างฝ่ายต่างมีการต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์กันมาโดยตลอดนับครั้งไม่ถ้วน จนบังเกิดการบาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมิใช่น้อย เพียงแต่ว่าเป็นการต่อสู้กันเล็กๆน้อยๆของเหล่าบริวารเท่านั้น จึงไม่เป็นผลกระทบแก่ผู้ใดมากนัก แต่มาบัดนี้ชนชั้นระดับผู้นำของหุบเขา สัตว์ร้ายถึงกับกล้าท้าทายนครากลืนวิญญาณโดยเปิดเผย เสมือนหนึ่งว่าไม่เกรงกลัวผลกระทบที่จะตามมาแม้แต่น้อย เพียงเพราะโกวเนี้ยนางหนึ่งเท่านั้น นับว่าไม่เคยมีเหตุการณ์เยี่ยงนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นไปได้อย่างยิ่งยวดว่าโกวเนี้ยนางนี้ต้องมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
หัวหน้าตึกพยัคฆ์โหดได้ยินคำตอบโต้ของเสมียนเฒ่า ก็หัวเราะออกมาอย่างโอหังและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมว่า
ฮา…ฮา…ผู้อื่นอาจจะเกรงกลัวนครากลืนวิญญาณ แต่สำหรับพวกเราหุบเขาสัตว์ร้ายแล้ว มิเคยเห็นอยู่ในสายตา ตั้ง “ขบวนศึกพยัคฆ์โหดขย้ำเหยื่อ” จู่โจมพวกมันทันที
สิ้นเสียงหัวหน้าตึกพยัคฆ์โหด เหล่าบริวารหุบเขาสัตว์ร้ายก็จักรูปขบวนทำศึกอย่างรวดเร็ว โดยให้เสือโคร่งลายพาดกลอนสองตัวพร้อมผู้คุมอยู่ด้านหน้าซ้ายขวาที่เหลือตามติดเป็นแถวซ้อนอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็พากันบุกจู่โจมเข้าหานักบู๊สวมเกราะพิทักษ์นคราฯที่ตั้งค่ายกลสะกดฟ้าป้องกันนคราฯอยู่ ด้วยท่วงท่าเยี่ยงสัตว์ป่าที่ดุร้ายพร้อมเสียงคำรามดังกึกก้องของสองพยัคฆ์ทันที