ตอนที่ 4 รัชทายาทแคว้นฉิน
ตอนที่ 4
บุรุษในวัยสามสิบหนาวเดินหน้าขรึมเข้ามาในลานฝึกซ้อม นัยน์ตาสีเทามององค์รัชทายาทอย่างตำหนิ โดยมิหวาดกลัวต่ออำนาจที่เหนือกว่าแม้แต่น้อย
“เหตุใดถึงสังหารคนของพระองค์เองเยี่ยงผักปลาเช่นนี้”
‘หมิงเพ่ยจือ’ อาจารย์ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ทั้งมือเปล่า และอาวุธ นอกจากนี้ฝ่าบาทยังมีพระบัญชาให้เขาคอยติดตามถวายความปลอดภัยและทำงานให้องค์รัชทายาทด้วย
“เหตุใดข้าจะสังหารคนอ่อนแอพวกนี้มิได้ ในเมื่อข้าต้องการกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งเหนือแคว้นทั้งหลาย”
“เช่นนั้น ทำไมไม่ใช่กลวิธีเปลี่ยนการฝึกแบบอื่นให้ทหารแข็งแกร่งกว่านี้ หากพระองค์ลงมือสังหารเป็นว่าเล่น ภายภาคหน้าคงมิมีทหารที่จะสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพระองค์แน่ พระองค์เองก็ท่องตำราหลักการครองราชย์จนขึ้นใจแล้วมิใช่หรือ ว่าคนที่อยู่เหนือผู้คนในใต้หล้า ต้องมีทั้งอำนาจบารมีและความเมตตาควบคู่กันไป”
เพ่ยจือกล่าวตักเตือนลูกศิษย์อย่างไม่เกรงกลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกขุ่นเคือง ในเมื่อคำนับเขาเป็นอาจารย์แล้วก็ย่อมต้องว่ากล่าวกันได้
องค์รัชทายาท แม้ไม่เห็นด้วยกับประโยคหลังของผู้เป็นอาจารย์ แต่มิอยากโต้แย้งให้มากความ เพราะที่ตัวเขามีฝีมือร้ายกาจได้ทุกวันนี้ เป็นเพราะได้ยอดฝีมืออย่างเพ่ยจือผู้นี้คอยอบรมสั่งสอน
“ข้าจะจำไว้...เอาล่ะ พวกเจ้าแยกย้ายกันได้”
บรรดาทหารต่างมองอาจารย์ขององค์รัชทายาท ด้วยแววตาเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง ก่อนจะรีบพากันเดินแถวออกจากลานฝึกซ้อมไปให้เร็วที่สุด
“รัชทายาท หากพระองค์อยากเป็นฮ่องเต้ที่ประชาชนรัก ได้โปรดลดความโหดเหี้ยมลงบ้างเถอะพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของเพ่ยจือ ออกไปในทางขอร้องมากกว่าคำสั่ง
“ข้าไม่ได้อยากเป็นฮ่องเต้ที่ประชาชนรัก แต่ข้าอยากเป็นฮ่องเต้ ที่เหนือกว่าฮ่องเต้แคว้นอื่น ๆ และรวบรวมแคว้นเล็กแคว้นน้อยเข้ามาเป็นแผ่นดินเดียวกับแคว้นฉินของข้า”
นัยน์ตาเหยี่ยวของรัชทายาทวาวโรจน์ไปด้วยไฟแห่งความทะเยอทะยาน ที่จะขึ้นไปอยู่เหนือสุด ยิ่งใหญ่สุด แม้นกระทั่งเหนือกว่าบิดาก็ตาม
“ดี กล่าวได้ดี”
ฮ่องเต้แคว้นฉินเดินนำหน้าขบวนขันทีนางกำนัลติดตามมาในลานฝึกซ้อม สองพระหัตถ์ตบกระทบกัน ด้วยความพึงพอใจ ยามได้ยินพระโอรสองค์โตกล่าวออกมา ยิ่งกระแสเสียงเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว ความทะเยอทะยานด้วยแล้ว ทำให้หวนคิดถึงตอนสมัยตนยังเป็นบุรุษหนุ่มน้อย ที่มากไปด้วยความต้องการเป็นใหญ่ในใต้หล้า
รัชทายาทก้มศีรษะคำนับผู้เป็นบิดา ส่งดาบคู่กายให้องครักษ์ประจำตัวถือ ก่อนจะหันมาตรัสกับพระบิดา
“เสด็จพ่อ เสด็จมาหาลูกถึงที่นี่ ทรงมีเรื่องอันใดให้ลูกรับใช้หรือไม่”
“พ่อกำลังจะไปปรึกษากับบรรดาขุนนาง เรื่องของแคว้นหานที่เริ่มตีตัวออกห่าง เอนเอียงมีใจปฏิพัทธ์กับแคว้นฉี เลยแวะมาดูการฝึกซ้อมของเจ้าเสียก่อน”
“เป็นอย่างไรบ้างเสด็จพ่อ ฝีมือลูกเริ่มใกล้เคียงกับยอดฝีมืออย่างเสด็จพ่อหรือยัง”
“พ่อหาใช่ยอดฝีมือที่ไหน อาจารย์เพ่ยจือของเจ้าต่างหาก ที่เป็นหนึ่งในยุทธภพ เจ้าต้องเรียนรู้จากอาจารย์ให้มาก เรื่องการต่อสู้นะ ส่วนเรื่องคุณธรรมการเป็นฮ่องเต้ที่ดีไม่ต้องไปฟังหรอก”
รัชทายาทหย่งกังก้มศีรษะรับคำของพระบิดา ทรงพอพระทัยที่มีความคิดคล้ายคลึงกัน บนโลกนี้หากอ่อนแอก็ย่อมจะถูกผู้เข้มแข็งกว่ารังแก ดังนั้นตัวเขาจะต้องแข็งแกร่งเป็นผู้ล่า มิใช่ผู้ถูกล่า
“เสด็จพ่อ การประชุมครั้งนี้ จะให้ลูกตามเสด็จด้วยหรือไม่”
“ได้สิ เจ้าเป็นรัชทายาท อีกหน่อยก็ได้ครองบัลลังก์ต่อจากพ่อ...เพ่ยจือ เจ้าเองก็ควรตามโอรสของข้าไปด้วย” ประโยคหลังฮ่องเต้ทรงหันไปรับสั่งกับอาจารย์และมือขวาของพระโอรส ที่เอาแต่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” เพ่ยเจินน้อมรับคำสั่งเสียงราบเรียบ สีหน้าแววตานิ่งเฉย จนไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ ว่าชายผู้นี้คิดเห็นเช่นไร
พระที่นั่งหลวง
พระที่นั่งหลวงเป็นตำหนักที่ฮ่องเต้แคว้นฉิน ใช้ออกว่าราชการงานบ้านงานเมือง
ซึ่งบัดนี้ฝ่าบาททรงประทับอยู่บนพระแท่นยกสูงกว่าพื้นปกติที่สร้างขึ้นจากทองคำบริสุทธิ์ ส่วนด้านล่าง มีองค์รัชทายาทและราชครูเพ่ยจือ ยืนอยู่หน้าสุด ด้านหลังของคนทั้งสอง มีบรรดาขุนนาง ที่ยืนเรียงกันตามยศถาบรรดาศักดิ์ลดหลั่นกันไป
“ฝ่าบาท การที่แคว้นหานส่งทูตไปเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นฉี เท่ากับจงใจเป็นปฏิปักษ์กับแคว้นฉินของเราเลยนะพ่ะย่ะค่ะ ซึ่งจะปล่อยผ่านไปแบบนี้ไม่ได้” เสนาบดีฝ่ายขวากราบทูลฮ่องเต้แคว้นฉิน หลังจากทรงมีรับสั่งให้ขุนนางช่วยกันออกความคิดเห็นว่าจะเอาอย่างไรกับแคว้นหานดี
“กระหม่อมเห็นด้วยกับท่านเสนาบดีพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อแคว้นหาน คิดจะเป็นศัตรูกับฝ่ายเรา กระหม่อมเห็นสมควร ให้ยกทัพไปตีเมืองหาน แสดงให้เห็นถึงแสนยานุภาพ ว่าควรจะจงรักภักดีกับใครมากกว่า” แม่ทัพใหญ่กราบทูล ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความหิวกระหายที่จะได้โรมรันกับศัตรูในสนามรบ
“กราบทูลฝ่าบาท กระหม่อมกลับคิดว่า เราควรส่งราชทูตไปถามไถ่ดูให้รู้ความก่อน ว่าทางแคว้นหานคิดตีตัวออกห่าง เอาใจไปเข้าข้างศัตรูของแคว้นฉินจริงหรือไม่ หากเอะอะยกทัพไป จะทำให้บาดหมางกับแคว้นที่เป็นพันธมิตรกันมานานเอาได้” เสนาบดีฝ่ายซ้ายก้าวออกมา กล่าวทัดทานไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเสนาบดีฝ่ายขวาและแม่ทัพใหญ่ ที่ดูจะหิวสงครามเกินไป
“มีอะไรต้องเจรจากันอีก ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย หรือว่าท่านขี้ขลาด กลัวกองกำลังแคว้นหานที่มีเพียงหยิบมือเดียว” แม่ทัพใหญ่จ้องหน้าชายชราผมขาวอย่างไม่วางตา
“ข้าหาได้ขี้ขลาด แต่สงครามย่อมนำมาซึ่งความเสียหายแก่ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะประชาชนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่” เสนาบดีฝ่ายซ้ายสวนกลับทันควัน
“พวกเจ้าพอได้แล้ว”
รัชทายาทหย่งกังขัดขึ้นมากลางปล้อง ทำให้ฝ่ายที่โต้เถียงกัน ทั้งสองฝ่ายพากันนิ่งเงียบ เมื่อทุกอย่างกลับมาอยู่ในความสงบอีกครั้ง รัชทายาทจึงหันไปกราบทูลกับพระบิดา ในสิ่งที่ตนเองคิดจะลงมือทำ
“ท่านพ่อ ลูกเห็นด้วยกับแม่ทัพใหญ่ ศึกคราวนี้ได้โปรดให้ลูกเป็นคนนำทัพไปยึดแคว้นหาน ให้มาอยู่ในอาณัติของเรา ในฐานะแคว้นประเทศราช ลูกมีแผนที่จะทำให้เราไม่ต้องเสียกำลังไพร่พลมากโดยเปล่าประโยชน์”
สิ้นคำกราบทูลของรัชทายาทในวัย15ชันษา เกิดเสียงพึมพำในหมู่ขุนนางน้อยใหญ่ ที่มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
จนโอรสสวรรค์ที่นั่งบนบัลลังก์ ต้องยกมือขึ้นห้ามปราม นัยน์ตาทรงอำนาจมองโอรสองค์โต คิดไตร่ตรองถึงผลได้ผลเสีย
หากรัชทายาทกระทำการสำเร็จ อาจจะทำให้ฝ่ายที่ต่อต้าน เพียงเพราะพื้นเพเดิมของฮองเฮาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ฝ่ายนั้นอาจจะเปลี่ยนใจหันกลับมาสนับสนุนรัชทายาทก็เป็นไปได้
“ตกลง ศึกยึดแคว้นหานครั้งนี้ พ่อให้เจ้าเป็นผู้บัญชาการใหญ่...เพ่ยจือ เจ้าจงติดตามไปช่วยรัชทายาทด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”
ราชครูก้มศีรษะน้อมรับพระบัญชาจากโอรสสวรรค์ และยังเป็นถึงสหายร่วมสาบานกันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กชายตัวน้อย ๆ จนกระทั่งบัดนี้เพ่ยจือก็ยังคงติดตามรับใช้ ด้วยได้ให้คำมั่นกับคนผู้หนึ่งไว้...