ตอนที่ 3 กาลกิณี
ตอนที่ 3
“ฝ่าบาท เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีหน้าตำหนักเฉิงเฉียวส่งเสียงรายงานเข้ามาจากด้านนอกประตูตำหนัก หลังจากได้รับรายงานข่าวร้ายจากขันทีของตำหนักคินหนิง
“เกิดเรื่องอันใด ถึงมารบกวนเวลาแห่งความปรีติของข้าเช่นนี้” พระสุรเสียงที่กล่าวตอบมา บ่งบอกว่าทรงขุ่นเคืองมากเพียงใด ที่มีคนมารบกวนเวลาของพระองค์กับโอรสน้อย
“ฮองเฮา ฮองเฮาสิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
...ปัง...
สิ้นเสียงรายงานของขันที ประตูตำหนักคินหนิงถูกกระชากเปิดออกอย่างแรง จนเกิดเสียงดัง พร้อมกับร่างของโอรสสวรรค์และพระสนมเอกที่อุ้มทารกน้อยก้าวออกมาด้านนอก
“เป็นไปได้อย่างไร ก่อนข้าเดินทางฮองเฮายังแข็งแรงดีอยู่เลย”
แม้ว่าจะไม่ได้ทรงมีพระทัยรักให้ฮองเฮาแม้แต่น้อย ที่ยอมอภิเษกด้วย เพราะต้องการอำนาจจากตระกูลทางฝั่งฮองเฮาเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นความผูกพันก็ย่อมมีอยู่บ้าง
เมื่อได้ทราบข่าวการจากไปแบบกะทันหันเช่นนี้ โอรสสวรรค์เช่นเขาก็มิอาจรับได้
“ฝ่าบาท เมื่อวานหลังจากเสวยกระยาหารเสร็จ อยู่ ๆ ฮองเฮาทรงตรัสว่าแน่นพระอุระ แล้วก็ล้มตึงไปทันที หมอหลวงทั้งหมดถูกตามตัวมาดูพระอาการ แต่ว่ากลับหาสาเหตุมิได้ ทำได้เพียงประคับประคองอาการเอาไว้อย่างสุดความสามารถ” ขันทีของตำหนักคินหนิงก้มหน้ารายงานเสียงสั่นเครือ
“แล้วทำไมถึงไม่รีบส่งข่าว หรือบอกข้าตั้งแต่ก้าวเข้าวังมา”
ขันทีตำหนักคินหนิงอยากจะตอบโต้ว่า ส่งคนไปรายงานแล้ว แต่ฝ่าบาทกลับสนใจฟังแค่ข่าวพระสนมเอกให้กำเนิดพระโอรส จนเสด็จมาตำหนักเฉิงเฉียวเป็นอันดับแรก แต่ไม่กล้า จึงทำได้เพียงก้มหน้ากลั้นเสียงสะอื้นเท่านั้น
“ฝ่าบาท รีบไปตำหนักคินหนิงเถอะเพคะ”
พระสนมเอก รับรู้ข่าวร้าย การสูญเสียมารดาของแผ่นดินแคว้นฉิน ในหทัยทรงเศร้าหมองไม่ต่างจากคนอื่น ๆ เลย ถึงแม้ตลอดเวลาที่เข้ามาอยู่ในวังหลวง จะถูกฮองเฮาหาเรื่องกลั่นแกล้งหวังไล่ให้ออกจากวังก็ตาม
หลังจากฝ่าบาทเสด็จไปที่ตำหนักคินหนิง ส่งรับสั่งให้ทางหัวหน้าหมอหลวง ทำการพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิตให้ได้ เพราะโดยปกติฮองเฮาเป็นสตรีที่ดูแลสุขภาพของตนเองเป็นอย่างดี จะมาสิ้นใจง่าย ๆ แบบนี้ได้เยี่ยงไร
ทางหมอหลวงเมื่อได้รับพระราชเสาวนีย์จากฮ่องเต้ รีบพากันทำหน้าที่ อย่างสุดความสามารถ แต่ก็ยังหาสาเหตุร้ายแรงอื่นไม่ได้ นอกจากจะเขียนรายงานสรุปไปว่า สาเหตุที่ฮองเฮาเสด็จสวรรคตก็เพราะว่ามีอาหารติดพระศอ จนเกิดอาการหายใจไม่ออก
แม้นฮ่องเต้จะทรงไม่พอพระทัยต่อคำวินิจฉัยของทางหมอหลวง แต่ก็ทรงทราบว่าทำงานอย่างเต็มที่แล้ว จึงปล่อยผ่านไป ทรงมีรับสั่งให้จัดงานพระบรมศพของฮองเฮาให้เหมาะสมพระเกียรติตามฐานันดรศักดิ์ของนาง
หลังจากพิธีการทุกอย่างเสร็จสิ้นลงทั้งหมด ทั่วทุกพื้นที่ในวังและนอกวังหลวง ต่างมีเสียงซุบซิบถึงสาเหตุการจากไปในเวลารวดเร็วแบบนี้
“กาลกิณี แคว้นฉินต้องมีตัวกาลกิณีอยู่แน่”
“ลู่หลิน หรือว่าจะเป็นเพราะ”
พระสนมเอกฮุ่ยหลิน ผู้ที่หลายฝ่ายกำลังจับตามอง ว่าจะขึ้นเป็นมารดาของแผ่นดินคนใหม่ แม้ฐานะเดิมของพระสนมจะไม่คู่ควรก็ตาม หลังจากได้ฟังคำร่ำลือที่กล่าวกันปากต่อปากนี้ ให้เกิดความไม่สบายพระทัยยิ่งนัก
“ไม่เป็นเพราะอะไรทั้งนั้นเพคะ ฮองเฮาทรงสั่งสมบุญมาแค่นี้ พอถึงเวลาก็จากไปแบบกะทันหัน ไม่มีใครทันตั้งตัว ทรงอย่าคิดมากกับคำเล่าลือพวกนั้นเลยเพคะ องค์ชายน้อยเป็นคนมีบุญ เปี่ยมไปด้วยบุญญาธิการ ถึงได้กำเนิดมา” ลู่หลินปลอบขวัญพระสนมเอก ไม่ให้หลุดพูดในสิ่งที่ไม่สมควรจะพูดออกมา เพราะหน้าต่างมีรู ประตูมีช่อง จะนำเภทภัยมาสู่ตัวพระองค์เองได้
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นเพคะ สิ่งเดียวที่พระสนมควรสนใจคือ ดูแลองค์ชายน้อยให้ดีที่สุด เพราะภายภาคหน้า องค์ชายน้อยจะได้เป็นใหญ่ต่อจากฝ่าบาท”
พระสนมเอกทอดพระเนตรมองโอรสที่กำลังบรรทมหลับสนิท ถึงแม้ในใจจะยังมีความกังวลห่วงหาอยู่มาก แต่เพื่อพระโอรสที่จะต้องเติบโตในวังหลวงอันเต็มไปด้วยเภทภัยนี้ นางจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมด ปกป้องจนกว่าเลือดในอกจะได้ตำแหน่งรัชทายาทมาครอบครอง...
15 ปีผ่านไป
...เคร้ง!...
เสียงคมดาบกระทบกันดังกึกก้องไปทั่วลานกว้าง ที่ใช้สำหรับฝึกซ้อมอาวุธของเหล่าเชื้อพระวงศ์
บุรุษรูปร่างสูงโปร่ง ท่วงท่าการเคลื่อนไหวแคล่วคล่อง เพลงดาบแต่ละท่าที่แสดงออกมา เต็มไปด้วยความดุดัน จนคู่ฝึกซ้อมที่เจริญวัยกว่ายังมิอาจต้านได้
...แกร่ง!...
ดาบในมือของชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยเครื่องแบบของนายทหารชั้นผู้น้อยหลุดจากมือหล่นลงพื้น ส่งผลให้ลำคอของเขาถูกคมดาบจ่อไว้จนแนบชิด
“อะ องค์รัชทายาท ไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย” ทหารฝีมือต่ำต้อย สองตาเบิกโพลง ยามได้พบเห็นนัยน์ตาเหยี่ยวที่เปล่งรัศมีอำมหิตออกมา
ริมฝีปากหยักได้รูปแสยะยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ เสียงเข้มกล่าวกับผู้พ่ายแพ้อย่างเหี้ยมเกรียม
“ฝีมือแย่ขนาดนี้ ต่อให้ฝึกกี่รอบก็เหมือนเดิม ตามที่ข้ากล่าวเอาไว้ตอนต้น คนแพ้ต้องตาย”
คมดาบตวัดเพียงหนึ่งครั้งก็ปลิดชีวิตของทหารที่ไร้ฝีมือ โดยที่ไม่มีโอกาสได้วิ่งหนี ก่อนนัยน์ตาเหยี่ยวจะปรายตามองหาคู่ประมือรายใหม่
บรรดาทหารชั้นผู้น้อยอีกหลายราย พากันก้มหน้านิ่ง ได้แต่ภาวนาในใจว่ามิให้เป็นผู้ที่ถูกเหลือ เพราะนี้ก็เป็นรายที่สามแล้ว ที่ต้องจบชีวิตลง เพียงเพราะมิอาจเอาชนะเพลงดาบขององค์รัชทายาทที่มีพระชันษาแค่ 15 ชันษาเท่านั้น
“ใครต่อดี เจ้า หรือเจ้า”
‘ข่งหย่งกัง’ รัชทายาทของแคว้นฉิน ชี้ปลายดาบไปทางบรรดาทหาร ที่ถูกคัดเลือกมาช่วยตนฝึกซ้อมเพลงดาบ แต่ว่าฝีมือของแต่ละคนนั้น สร้างความหงุดหงิดและชวนให้สังเวชมาก หากเกิดมีข้าศึกมารุกรานฝีมือแบบนี้จะไปสู้รบชนะใครเขาได้
“เจ้าถือดาบแล้วก้าวออกมาข้างหน้า”
“องค์รัชทายาท เมตตากระหม่อมด้วย ฝีมือพระองค์เก่งกาจประดุจเทพสงครามเช่นนี้ ต่อให้นำทหารมาหมดแผ่นดินแคว้นฉินก็มิมีใครสามารถต้านทานเพลงดาบของพระองค์ได้” ทหารคนใหม่ที่ถูกเลือก รีบคุกเข่าลงพื้น กล่าวละล่ำละลักเสียงสั่น ด้วยความกลัวตาย
“มิใช่ข้าเก่งดุจเทพสงครามหรอก แต่เพราะฝีมือของพวกเจ้าไม่ถึงขั้นต่างหาก...ได้ในเมื่อเจ้าไม่อยากสู้”
ทหารผู้นั้นเผยสีหน้าโล่งใจ ที่ไม่ต้องมาทิ้งชีวิตไว้ในสนามฝึกซ้อมนี้ แต่โล่งใจได้เพียงไม่นานเท่านั้น พระสุรเสียงที่เต็มไปด้วยอำนาจก็รับสั่งประโยคถัดมา ส่งผลให้ทหารชั้นผู้น้อย รีบถอยหลังหนีทันที
“หากเจ้าขี้ขลาด ก็สมควรแล้วที่จะต้องถูกสังหารด้วยคมดาบของข้าอีก”
ปลายดาบถูกเงื้อขึ้นสูง เตรียมตวัดดื่มเลือดทหารที่กำลังถอยร่นหนีอย่างสุดชีวิต
“องค์รัชทายาทพอได้แล้ว”