บท
ตั้งค่า

9. ดูแล

จางจื่อเดินมาถึงก็ยืนนิ่ง เพราะใครอีกคนที่นั่งอยู่คือบุรุษที่เข้าพิธีกันเมื่อสามปีก่อน มือเล็กเย็นเฉียบโดยมิรู้ตัว ก็รู้อยู่ว่าฮ่องเต้นั้นมีสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวนี้ และจางจื่อเจ้าของร่างด้วย ทว่าก็ยังตื่นเต้นยามเห็นเขาอยู่ดี

“นะ..นี่จางจื่อหรือ” เสวียนอวี้เอ่ยติดขัด เพราะมิอาจเชื่อสายตาตนเอง เด็กน้อยที่มักจะให้ไป่เหอทำโทษเขาประจำ โตขึ้นมาจะงดงามได้เพียงนี้

“จางจื่อถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ” นางย่อตัวลงอย่างนอบน้อมอย่างที่เรียนรู้มา ท่าทางคุ้นตาทำให้ฮ่องเต้หนุ่มชะงัก แต่ก็หายไปในเวลาอันรวดเร็ว

“ไม่ต้องมากพิธี ทำเป็นคนอื่นคนไกลไปได้ นั่งลง” ว่าพร้อมกับดึงแขนให้นั่งข้างกัน ซึ่งมีไป่เหอขนาบข้าง

จางจื่อเอาแต่ก้มหน้า รู้สึกเกร็งที่ต้องอยู่ร่วมวงกับทั้งสาม โดยมิทันสังเกตุผู้ที่โกนหนวดเคราเลยสักนิด

“นี่มิคิดจะทักพี่เลยหรือ” อดไม่ได้ก็พูดขึ้นมาเสียเอง จางจื่อหันมาตามเสียง ดวงตาสวยกะพริบถี่ไม่เชื่อสายตา นิ้วเรียวขาวยกขึ้นชี้หน้าอีกฝ่ายทันที

“ทะ..ท่านแม่ทัพหรือเจ้าคะ” ถามเสียงดัง ทำเอาสองสหายถึงกับหลุดขำ มิคิดว่าคนน้องจะหน้าตื่นเพียงนี้ ไหนจะคำเรียกที่ดูห่างเหินนี้อีก

“ดูท่า เจ้าคงจากไปนานจนจางจื่อน้อยจำมิได้สินะ” เสวียนอวี้เย้าสหายอย่างชอบใจ

“ฝ่าบาทอย่ามาเรียกหม่อมฉันว่าจางจื่อน้อยนะเพคะ หม่อมฉันโตแล้วมิใช่เด็ก” ครานี้เป็นฮ่องเต้ที่ถูกเอาคืนบ้าง เสวียนอวี้ถึงกับหน้าเสีย บนโลกนี้มีแค่จิวซูและจางจื่อเท่านั้นที่กล้าต่อว่าเขา

“น้อยๆ หน่อย พี่เป็นฮ่องเต้นะ” ทำทีดุอีกฝ่าย แต่คนน้องกลับยู่หน้าใส่เสียอย่างนั้น

“อะไรกันเจ้าเด็กนี่” เสวียนอวี้ว่าพร้อมกับยกนิ้วตั้งท่าจะดีดหน้าผาก แต่คนน้องกลับยกมือของไป่เหอมาขวางเอาไว้ ทำเอาแม่ทัพหนุ่มถึงกับไปไม่เป็น

“อ่อ!.นี่กล้าสู้พี่หรือ” ฮ่องเต้ยังมิวายสนุกกับการแกล้งนาง ทำให้ยามนี้จางจื่อตกอยู่ในอ้อมแขนของไป่เหอ เพราะนางรั้งเอาสองมือเขาขึ้นมาใช้เป็นอาวุธ ปัดป้องตนเอง จนแผนหลังแนบชิดกับคนตัวโตโดยมิรู้ตัว เพราะมัวแต่สนุก ทั้งยังมิมีใครห้ามใครเลย

“ดูนายน้อยสิ ตัวเกร็งเชียว” จูโม่หันมากระซิบกับสหาย พวกเขาและเหล่าองครักษ์ยืนอยู่ไกลออกมา เพราะมิอยากขัดความสำราญของผู้เป็นนาย โดยเฉพาะฮ่องเต้ที่เคร่งเครียดกับงานราชกิจ

“เป็นเจ้าจะไม่เกร็งหรือ คุณหนูหยวนงดงามเพียงนั้น นายน้อยของเราจะทนได้แค่ไหนเชียว กับฐานะพี่ชาย” กวนหย่งเอ่ยอย่างคนชำนาญเรื่องรัก เขาผ่านสมรภูมิรบพอๆ กับสมรภูมิรักเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นคนเจ้าชู้

“แต่ได้ยินว่าทั้งสี่ก็สนิทสนมกันมาตั้งแต่เล็กมิใช่ ข้าว่าเจ้าน่ะคิดมากไปเอง นายน้อยพบพานสตรีมามากมาย คงมิตกม้าตายกับน้องสาวที่รักใคร่กันมานานหรอก” จูโม่ยังเชื่อในความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของทั้งคู่ มิต่างจากฮ่องเต้ที่เอ็นดูจางจื่อเป็นอย่างมาก ถึงได้หัวเราะร่วนชอบใจเพียงนี้

“จะยอมแพ้หรือยังฮึ” เสวียนอวี้ถามคนน้อง ซึ่งตอนนี้เล่นเหนื่อยจนหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึงแล้ว

“ยอม..ยอมแล้วเพคะ หิวด้วย” เอ่ยบอกพร้อมกับวางมือของไป่เหอบนตักตนเอง มิได้จับให้ชูขึ้นต่อสู้เช่นเมื่อครู่ คนด้านหลังก็เอาแต่นั่งเงียบ

“เช่นนั้นก็ไปกินข้าวกันเถอะ ข้าก็หิวแล้ว” เอ่ยจบก็ลุกขึ้นจูงเอาแขนเล็กให้เดินตามไปดื้อๆ ทำเอาผู้ที่นั่งซ้อนอยู่ถึงกับมองตามตาละห้อย

จางเหว่ยเห็นเช่นนั้นก็นึกขำ เป็นเช่นนี้เสมอยามที่จางจื่อถูกฉกไปต่อหน้า ไม่ว่าจะเป็นตัวเสวียนอวี้เองก็มิต่างกัน ถ้าน้องสาวตัวดีเขาเข้าหาอีกคนมากกว่า ต้องมีอีกคนแสดงท่าทีน้อยใจเช่นนี้เสมอ

“ไปเถอะ มัวแต่นั่งซึมอยู่ได้ ฝ่าบาทมิได้พบจางจื่อทุกวันเช่นเจ้าหรอกนะ” จางเหว่ยเอ่ยแนะ ไป่เหอหันขวับก่อนจะยิ้มออกมา สร้างความหมั่นไส้ให้สหายยิ่งนัก

“ข้าเกลียดรอยยิ้มเจ้าจริงๆ” ว่าพร้อมกับคว่ำปากใส่ ทั้งยังใช้หางตาชำเลืองมองอีก ไป่เหอยักคิ้วใส่ด้วยท่าทางกวน พร้อมกับเดินตามไปยังห้องรับอาหาร

“เจ้ากลับมาแล้ว ข้าคงต้องฝากเจ้าคอยดูแลจางจื่อแทนด้วย ตลอดสามปีมานี้ถูกขังให้อยู่แต่ในจวน มีบ้างที่แอบหนีออกไป ถึงแม้จะไม่เกิดเรื่องอีก แต่ก็ใช่ว่าคนเหล่านั้นจะหยุด ตราบใดที่ยังหาตัวผู้บงการมิได้ ข้าเองมิอาจวางใจให้จางจื่อไปไหนมาไหนทั้งนั้น” จางเหว่ยเอ่ยกับสหายในขณะที่เดินเข้าห้องอาหาร

“อย่าห่วง ข้าจะดูแลนางเอง” ตอบเพียงเท่านั้น สหายที่เดินมานั่งก่อนก็พูดขึ้น

“อย่างไรเจ้าก็อย่าพึ่งหนีไปแต่งงานกับสตรีงามบ้านอื่นเสียก่อนล่ะ ต้องรอให้น้องสาวเราขายออกก่อนนะ”

“คงอีกนานพ่ะย่ะค่ะ มิรู้ใครจะตาบอดมาสู่ขอ” จางเหว่ยเอ่ยเย้าน้องสาวตนบ้าง “เอ๋!.กระหม่อมนึกขึ้นได้แล้ว สองคนนี้มีสัญญาใจกันไว้มิใช่หรือ พอดีเลย ในเมื่อเจ้าไม่อยากแต่งกับคุณหนูสกุลเกา ก็ทำตามสัญญาที่ให้กับเจ้าตัวเล็กไปเลยสิ” องครักษ์หนุ่มได้ทีก็แกล้งทั้งสหายและน้องสาวอีก แต่ครานี้กลับมิมีเสียงตอบกลับ

“มาๆ นั่งลง มัวแต่พูดคุยหยอกล้อกันอยู่นั่นแหละ อาหารเย็นหมดแล้ว ฝ่าบาทเชิญเสวยพ่ะย่ะค่ะ” เป็นท่านราชครูที่เอ่ยตัดบท เพราะดูจากสีหน้าของสามคนที่นั่งเคียงกัน มีท่าทางกระอักกระอ่วนอยู่มิน้อย เพียงแต่มิรู้ว่าแต่ละคนมีความคิดเช่นใด ถึงมิคุยเล่นเรื่องนี้เช่นแต่ก่อน

พอทานอาหารเสร็จทั้งสี่ก็ออกมานั่งเล่นในสวนอีก เพราะฮ่องเต้หนุ่มยังมิอยากกลับเข้าวัง ยังคงสนุกกับการพูดคุยกับสหาย ทว่าคนตัวเล็กกลับเอาแต่นิ่งไม่เอ่ยสิ่งใดมองดูใครบางคนเอ่ยถามสหายเรื่องรบมิหยุด

บางคราเสวียนอวี้ก็หันมายิ้มให้ พอสบตากันเขาก็หันเหไปทางอื่น ราวกับมีบางสิ่งทำให้ฮ่องเต้หนุ่มรีบทำเช่นนั้น จางจื่อเลยได้แต่ทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี คอยจับตามองอีกฝ่ายมิให้รู้ตัว จึงได้เห็นอีกมุมของเขา

“นี่คือตัวตนจริงๆ ของท่านหรือเสวียนอวี้ ยามที่อยู่กับจางจื่อท่านปล่อยวางทุกสิ่งอย่างได้อย่างเป็นสุข แต่เหตุใดนัยน์ตานี้ถึงได้ดูเศร้าหมองนัก” นึกในใจสายตาก็ยังคงมองสังเกตเสวียนอวี้ไปด้วย นางอดสงสารเขามิได้ เพราะเคยเห็นอีกฝ่ายเคร่งเครียดกับราชกิจ แม้ยามนั้นจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้พบเจอกันก็เถอะ

“เอาแต่จ้องพี่ มีอะไรติดบนหน้ากระนั้นหรือฮึ” ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยถามน้องสาวต่างสายเลือด เพราะเขารู้อยู่แล้วว่านางเอาแต่แอบมองเขา มิต่างจากตอนเด็กเลย

“เปล่าเพคะ” ตอบเสียงเบา มือเล็กก็หยิบองุ่นบนโต๊ะใส่ปาก แสร้งหันมาทางพี่ชายหลบสายตาอีกฝ่าย

“แน่หรือ?” เสวียนอวี้ยังคงอยากแกล้งนาง

“ดึกแล้ว จางจื่อขอไปนอนก่อนนะเพคะ ทูลลาฝ่าบาท ลาท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ ข้าไปนะพี่ชาย” ย่อคำนับทั้งสามอย่างนอบน้อม ก่อนจะหมุนตัวเลี่ยงเดินออกไปทันที ทำเอาคนที่กำลังจะพูดด้วยถึงกับอ้าปากค้าง

“อะไรกันเจ้าเด็กคนนี้ จู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้น ทำเอาข้าตกใจหมด” เสวียนอวี้บ่นให้กับคนที่เดินจากไปแล้ว

“จางจื่อมิเหมือนก่อนจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่ถูกลอบทำร้ายครานั้น ตื่นมานางก็มิเหมือนเดิม” จางเหว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจ เพราะบางทีน้องสาวก็ดื้อซนจนบิดาเป็นห่วงมาก ทั้งที่เมื่อก่อนว่านอนสอนง่าย และพูดน้อย

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel