10. ลอบสังหาร
“แต่ข้าก็ชอบที่จางจื่อเป็นเช่นนี้นะ นางทันคนกว่าแต่ก่อน เช่นนี้คงมิถูกรังแกง่ายๆ” แม่ทัพหนุ่มบอกกล่าวในสิ่งที่เขาเห็น และสัมผัสมาเมื่อตอนกลางวัน
“อืม ก็จริง” ฮ่องเต้เห็นดีด้วย ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง “ดึกแล้วคงจต้องกลับเข้าวังเสียที มิรู้เมื่อใดจะได้มานั่งพูดคุยกันที่นี่อีก” เสียงนั้นเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“หากมิมีศึกสงคราม เราก็คงได้พบกันบ่อยขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“นั่นสินะ มีแต่เจ้าที่อยู่ต่างเมืองจนมิได้พบกัน ข้าก็หวังให้แคว้นเราสงบสุขเสียที เจ้าเองจะได้มีครอบครัวมิต้องกรำศึกเช่นแต่ก่อน” เสวียนอวี้บอกสหาย
“กระหม่อมเกรงแต่ว่าแม่ทัพใหญ่จะอยู่มิเป็นสุขน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ มิได้จับดาบฆ่าฟันผู้อื่น กลางคืนจะหลับลงหรือ” จางเหว่ยเย้าอีกฝ่ายทันที เพราะรู้ว่าไป่เหอชอบการต่อสู้
“ก็จริง เช่นนั้นช่วงนี้เจ้าก็รับหน้าที่ดูแลหน่วยอินทรีย์ให้ข้าสิ อย่างน้อยจะได้ไม่เหงา อีกอย่างกรมคลังก็จ่ายเงินเดือนให้เจ้าทุกเดือนมิใช่ จะได้มิเสียเปล่าอย่างไรล่ะ”
“หึ! นี่กลัวกระหม่อมจะสบายเพียงนั้นเชียว” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยประชดผู้เป็นนายเหนือหัว สหายทั้งสองจึงได้แต่หัวเราะขบขัน จนกระทั่งเดินมาถึงประตูหลังของจวน
“ว่าแต่ เรื่องที่ท่านโหวจะให้เจ้าแต่งงานกับคุณหนูเกาเจ้าจะทำเช่นไร จะให้ข้าช่วยหรือไม่” เสวียนอวี้หันมาถาม เพราะรู้ดีว่าไป่เหอนั้นมิมีใจคิดเรื่องพวกนี้
“เอาไว้กระหม่อมจะหาทางแก้ไขดูก่อนพ่ะย่ะค่ะ หากเหลือบากกว่าแรงคงต้องรบกวนฝ่าบาทแล้ว”
“คนสกุลนี้มิต่างจากสกุลฟานเจ้าเล่ห์พอกัน” เป็นเสียงของจางเหว่ย เขายังจำเรื่องที่สวี่หลิง สั่งคนจับจางจื่อโยนน้ำได้ จึงมิอยากให้สหายเกี่ยวดองกับคนสกุลนี้อีก แม้ว่าผู้ที่เอ่ยถึงจะเกี่ยวพันธ์กับเสด็จย่าฮ่องเต้ก็เถอะ
“เห็นว่าคุณหนูสี่บุตรสาวคนเล็กเป็นบุตรที่หลงมาเกิด อายุใกล้เคียงกันกับจางจื่อของเรา เห็นข่าวลือบอกว่าเสนาขวารอจับคู่ให้เจ้าผู้เดียวเลยนะ บิดาเจ้าก็ดูจะถูกใจมิน้อยจึงตบปากรับคำ” ฮ่องเต้เย้าสหาย
“ผู้ใดรับปาก ก็ให้คนผู้นั้นแต่งไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิเข้าพิธีเสียอย่าง” บอกเสียงเรียบ มิเดือดร้อนกับเรื่องที่ฟังแม้แต่น้อย
“ไป่เหอ เจ้าอย่าลืมว่าอกตัญญูต่อบิดามารดาคือโทษใหญ่ การแต่งงานล้วนต้องขึ้นอยู่กับบุพการี มิได้ง่ายอย่างที่เจ้าคิดหรอกนะ” จางเหว่ยเอ่ยเตือน ยามนี้ทั้งสามจึงยังคงยืนพูดคุยกันที่หน้าประตู ทั้งที่บอกว่าจะกลับ
แม่ทัพหนุ่มเงียบไป เขาเองก็คำนึงถึงข้อนี้ แต่จะให้แต่งเพื่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มนั้น ไป่เหอมิทำเป็นอันขาด ยิ่งถูกมัดมือชกจากบิดาที่มีใจรังเกียจด้วยแล้ว เขามิมีทางโอนอ่อนทำตามง่ายๆ เป็นแน่
“เอาเถอะ เรื่องนี้หากเจ้าจะให้ช่วยเช่นใดก็บอกมา หรือไม่หากเจ้าถูกใจสตรีนางใด ข้าออกราชโองการประทานสมรสให้เจ้าเลยก็ได้นะ” เสวียนอวี้ชี้ทางให้สหาย ยามนี้เองที่ไป่เหอนึกถึงใบหน้าของใครบางคน ทำให้เขาต้องรีบสลัดความคิดมิเหมาะมิควรนี้ออกไป
“ถึงทางตันเมื่อใด กระหม่อมจะบอกกล่าวฝ่าบาทแน่พ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบก็เชิญเสด็จฮ่องเต้ เพราะมันดึกมากแล้ว แม้ระยะทางจะไม่ไกลนักแต่เขาก็อดห่วงมิได้ เสวียนอวี้ส่ายหัวให้กับความห่วงใยของสหายทั้งสอง
พอขึ้นรถม้าได้แล้วขบวนที่มีองครักษ์คุ้มกันแค่สิบคนก็เดินทางกลับเข้าวัง ทว่ารถม้านั้นเกิดเพลาเสีย
“อะไรกัน ไยมิตรวจตราให้ดีก่อนจะออกมา” จางเหว่ยหันมาตำหนิผู้ดูแลรถม้า
“ขอพระราชทานอภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมตรวจดูทุกครั้งแล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอได้ทรงโปรดไว้ชีวิตด้วย” คนรถคุกเข่าลงหมอบอย่างตื่นกลัว
“มิเป็นไร ลุกขึ้นเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้าทำดีแล้ว”
“ฝ่าบาทเสด็จไปหลบที่มุมนั้นก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์อีกคนเอ่ยกับผู้เป็นนาย เสวียนอวี้ก็เดินตามไปยืนหลบที่มุมตรอก เพื่อการป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น และก็เป็นเช่นที่กังวลจริงๆ เมื่อกลุ่มองครักษ์ถูกโจมตี
“คุ้มกันฝ่าบาท” จางเหว่ยรีบถอยมาหาผู้เป็นนาย ลูกดอกถูกยิงมาจากทุกมุม จึงทำให้มีคนเจ็บเกือบครึ่ง
“ทำเช่นไรดีจางเหว่ย ดูเหมือนพวกมันจะมีมาก เราก็ออกไปส่งข่าวมิได้เลย” เสียงกังวลขององครักษ์หนุ่มดังขึ้น
“ข้าจะลอบออกไปเอง พวกเจ้าคุ้มกันฝ่าบาทให้ดี” จางเหว่ยเอ่ยกับทุกคน เสวียนอวี้มองตามสหายที่หลบออกจากตรอก ดูเหมือนจะง่ายเมื่อเขาพ้นออกมาจากตรอกได้ ทว่า จู่ๆ ก็มีลูกดอกพุ่งปักเข้าที่ขาสองข้างจนล้มลงกลางถนน
เหล่าสหายหมายจะเข้าไปช่วยก็ถูกยิงสกัด ยามนี้จึงได้แต่ยืนดูจางเหว่ยพยายามกระเถิบตัวหาที่หลบ ไม่กี่อึดใจก็มีกลุ่มคนกว่ายี่สิบเดินออกมายืนขวางคนเจ็บ
“เราต้องตีฝ่าออกไป คุ้มกันฝ่าบาทกลับไปที่จวนท่านแม่ทัพให้จงได้” อีกคนออกความคิดเห็น เสวียนอวี้หมายจะค้าน เพราะห่วงสหายรักที่นอนเจ็บอยู่ท่ามกลางคนร้าย เขามิอาจหนีไปได้โดยทิ้งจางเหว่ยเอาไว้ มือเรียวแย่งเอาดาบจากองครักษ์แล้วสั่งให้ทุกคนสู้
“ช่วยจางเหว่ยให้ได้” ออกคำสั่งแล้วเขาก็ออกจากตรอก ยืนเผชิญหน้ากับคนร้ายโดยมิเกรงกลัว หากสู้กันซึ่งหน้าเขาก็มีวิชาต่อสู้ติดตัวอยู่มิต่างจากจางเหว่ย
ทว่า อีกฝ่ายกลับลอบกัดนี่สิ คนชุดดำยิงหน้าไม้ออกมาปักที่หัวไหล่ทันทีที่เขาเผยตัว มิรีรอที่จะปล่อยให้โอกาสหลุดลอย ทำให้เหล่าองครักษ์บาดเจ็บเกือบทั้งหมด
“ฝ่าบาทหนีไปพ่ะย่ะค่ะ” จางเหว่ยร้องบอก องครักษ์ที่อยู่ข้างกายจึงรีบดึงแขนผู้เป็นนายวิ่งไปทางทิศใต้ ซึ่งมันอยู่คนละฝั่งกับจวนแม่ทัพและยังห่างจากวังหลวงด้วย
เสวียนอวี้หอบเหนื่อยกับการวิ่ง นานแล้วที่เขามิได้ออกกำลังหรือฝึกปรือวิชา วันๆ เอาแต่นั่งอ่านฎีกาของขุนนางและราษฎร พอได้วิ่งเช่นนี้เลยเหนื่อยง่ายกว่าปกติ พอมาถึงตรอกเปลี่ยวห่างตัวเมือง องครักษ์หนุ่มก็หยุด
“หานตู ไยมิไปต่อ” สหายที่ติดตามมาเอ่ยถามในทันที
“หึ! ถึงที่หมายแล้วไยเราต้องไปต่อด้วยเล่า” ตอบเสียงเย็นพร้อมกับแสยะยิ้มออกมา
“มะ หมายความว่าเช่นใด อ๊ะ! อึก! นี่เจ้า” เสียงขาดหายไปเมื่ออีกฝ่ายตวัดดาบเข้าที่คอ เสวียนอวี้ยืนตะลึงกับภาพตรงหน้า มิคิดว่าองครักษ์ที่อยู่ด้วยกันมาหกเดือนจะกลายเป็นมือสังหารไปได้ ทั้งที่สืบภูมิหลังมาแล้วแท้ๆ
“เจ้าเป็นพวกเดียวกับมัน” เสียงแหบพร่าเปล่งออกมา เพราะยามนี้บาดแผลที่หัวไหล่ทำเขาเจ็บมิน้อย
“รู้ก็สายไปแล้วฝ่าบาท” ยิ้มหยันเผยขึ้นในเวลาต่อมา เขามิรอช้าที่จะสังหารคนตรงหน้า ดาบในมือง้างขึ้นหมายจะฟัน เสวียนอวี้รีบยกดาบในมือขึ้นป้องกันตัว ทว่าเขาบาดเจ็บที่ไหล่เป็นทุนเดิม จึงทำให้ไร้แรงจะยั้งคมดาบของคนชั่วได้ ยิ้มร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าขององครักษ์หนุ่มเขาใช้แรงกดร่างสูงจนต้องคุกเข่า
“ตายเสียเถอะ” ว่าแล้วก็หมายจะพลิกดาบหันคมใส่คอของฮ่องเต้ เพื่อปลิดชีพเขาเสีย ทว่าต้นแขนกลับมีบางอย่างปักลงเสียก่อน ทำให้อาวุธในมือล่วงหล่นทันที
“ใคร! ใครกล้าลอบทำร้ายข้า” เขาตวาดลั่น
เสวียนอวี้รีบยกดาบขึ้นอีกครา หมายจะจัดการกับอีกฝ่าย แต่แรงนั้นหดหายจนต้องทรุดลงอีก องครักษ์หนุ่มยกยิ้มมองฮ่องเต้ซึ่งถูกพิษจากลูกดอกก็ยังมิรู้ตัว เขาจับดาบขึ้นมาอีกครั้งเช่นกัน ทว่าก็ยังมีคนยิงอาวุธออกมาอีก ครานี้ถูกที่แขนอีกข้าง พร้อมกับการปรากฏกายของมือยิง