11.มาไวไปไว
เสวียนอวี้รีบยกดาบขึ้นอีกครา หมายจะจัดการกับอีกฝ่าย แต่แรงนั้นหดหายจนต้องทรุดลงอีก องครักษ์หนุ่มยกยิ้มมองฮ่องเต้ซึ่งถูกพิษจากลูกดอกก็ยังมิรู้ตัว เขาจับดาบขึ้นมาอีกครั้งเช่นกัน ทว่าก็ยังมีคนยิงอาวุธออกมาอีก ครานี้ถูกที่แขนอีกข้าง พร้อมกับการปรากฏกายของมือยิง
“รังแกคนมิมีทางสู้มันมิดูขี้ขลาดไปหน่อยหรือ” เสียงใสของคนชุดขาว มิบอกก็รู้ว่านางเป็นสตรี เพียงแต่มิเห็นใบหน้าก็เท่านั้น เพราะมีผ้าปิดเอาไว้
“เจ้าเป็นใคร คิดจะช่วยมันเพื่อลาภยศเงินทองกระนั้นหรือ ข้าก็ให้เจ้าได้หากเจ้าต้องการ” องครักษ์หนุ่มต่อรอง
คนมาใหม่มิได้เอ่ยอันใด ใช้มือสับไปที่ต้นคออีกฝ่ายไปหนึ่งทีเขาก็ล้มทั้งยืนแล้ว เสวียนอวี้มองตามอย่างอ่อนล้า ก่อนที่ร่างเขาจะถูกพยุงให้ลุกขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาเตะจมูก ทำเอาฮ่องเต้หนุ่มรู้สึกผ่อนคลายมิน้อย
“นั่งตรงนี้ก่อน ข้าจะถอนพิษให้” เอ่ยและประคองอีกฝ่ายพิงผนังในตรอก นางหยิบขวดยาขนาดเล็กออกมา
เมื่อเทมันลงใส่ฝ่ายมือก็ป้อนเขา เสวียนอวี้มีท่าทางลังเลมิน้อย สตรีปิดหน้าจึงใช้มือบีบปากเขาแล้วยัดยาเข้าไป “อย่าให้ข้าต้องมาเสียเวลากับเจ้า” บ่นให้อย่างเสียมิได้
“ขอบใจ” คนเจ็บเอ่ยเสียงแหบพร่า
“จะให้ข้าไปส่งที่ใดหรือไม่”
“ไปได้หรือ เจ้าไปส่งข้าที่จวนแม่ทัพหลินที” แสร้งถามไปเช่นนั้นเอง มิคิดว่าอีกฝ่ายจะพาเขามาส่งได้จริงๆ ยามนี้ฮ่องเต้หนุ่มจึงอยู่บนรถลากเพื่อตรงไปยังจุดหมาย
“ดูคึกคักดีจริง” เสียงใสของคนบังคับม้าเปล่งออกมา “ข้าส่งเจ้าแค่นี้นะ มิคิดว่าเจ้าจะรู้จักคนใหญ่คนโตด้วย” นางเอ่ยเช่นนี้ก็เพราะอีกฝ่ายแต่งกายด้วยอาภรณ์ของชาวบ้านทั่วไป จึงมิได้สังเกตสง่าราศีของฮ่องเต้หนุ่ม มิหนำซ้ำก็เป็นช่วงกลางคืน
“เดี๋ยว” เรียกได้แค่นั้นเพราะสตรีตัวเล็กเดินจากไปแล้ว
เสวียนอวี้ได้รับการช่วยเหลือจากคนของจวนแม่ทัพ ซึ่งไป่เหอมิได้อยู่ที่นี่ยามนี้ หลังจากได้ข่าวการลอบสังหาร ก็รีบออกตามหาอย่างร้อนใจ
“ฝ่าบาทกระหม่อมให้คนไปตามหมอมาแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ รวมถึงท่านแม่ทัพด้วย” พ่อบ้านเฉิงรายงาน
“อืม ได้ข่าวองครักษ์ของข้าหรือไม่” รีบถามถึงคนของตน ซึ่งมีความจงรักภักดีต่างจากผู้ที่คิดจะสังหารเขา
“เรื่องนี้กระหม่อมและคนในจวนมิอาจทราบได้พ่ะย่ะค่ะ ท่านแม่ทัพสั่งมิให้ออกไปที่ใด”
“งั้นหรือ เช่นนั้นไปสืบความจากจวนราชครูที ทางนั้นอาจจะรู้ข่าวบ้างก็ได้” นึกได้เขาก็รีบสั่ง
“กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” ยังมิทันที่จะได้ออกไปพ้นประตูจวน ไป่เหอก็มาถึงเสียก่อน “ฝ่าบาทอยู่ด้านในพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านรีบรายงานพร้อมกับเดินตาม
“ฝ่าบาทเป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าปลอดภัยดี ว่าแต่คนอื่นๆ ล่ะ” รีบถามถึงองครักษ์ของตนด้วยความเป็นห่วงมิต่างจากสหาย
“มีตายสองพ่ะย่ะค่ะ ที่เหลือก็บาดเจ็บ ยังดีที่ยามตรวจตราพบเห็นเข้า รีบไปแจ้งกระหม่อมที่อยู่ใกล้สุด จึงมาทันก่อนที่พวกมันจะลงมือกับคนที่เหลือ ส่วนจางเหว่ยแค่บาดเจ็บ ยามนี้กลับมารักษาตัวอยู่ที่จวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“งั้นหรือ เจ้าจัดการแทนข้าด้วยนะเรื่องขององครักษ์ที่ตาย” บอกเสียงเศร้า เพราะมิเคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน นี่คงเป็นคราแรกด้วยซ้ำ
“มิคิดว่าจะมีคนกล้าลงมือในเมือง คนพวกนี้วิชาต่อสู้เก่งกาจคิดการมาอย่างลอบคอบ ที่สำคัญหนึ่งในนั้นคือองครักษ์ที่คอยติดตามข้ามาตลอดหกเดือน มันวางแผนกันมานานแล้วแต่เรามิรู้เลย”
“หมายความว่าพวกมันแฝงตัวอยู่ในกลุ่มองครักษ์หรือพ่ะย่ะค่ะ ทั้งที่การรับคนเข้มงวดเพียงนั้น หรือจะมีคนหนุนหลัง” ไป่เหอเอ่ยในสิ่งที่สงสัย มันมิต่างจากเสวียนอวี้นัก
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เจ้าช่วยสืบเรื่องนี้ด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ” รับคำแล้วก็จัดคนคุ้มครองฮ่องเต้กลับเข้าวังอีกครั้ง ทว่าเสวียนอวี้ก็ยังมิลืมที่จะเข้าไปเยี่ยมสหายอย่างจางเหว่ย ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็เสด็จกลับเข้าวัง
หลังจากนั้นก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วที่แม่ทัพหนุ่มกลับเมืองหลวง เขายังมิได้เข้าไปคำนับบิดาเลย เพราะมัวแต่สืบเรื่องลอบสังหารโดยต้องปิดเป็นความลับ เพื่อมิให้กระทบกับการหนีออกมาเที่ยวจวนสหายในยามค่ำคืนของเสวียนอวี้ พอมีเวลาว่างเล็กน้อยก็มาหาจางจื่อ
วันนี้จึงถูกคนของบิดาตามตัว ในขณะที่กำลังจะพาจางจื่อออกไปเที่ยวนอกเมือง ส่วนหนึ่งก็มาจากแผนที่อยากจะล่อคนร้ายออกมาอีกครั้งนั่นเอง
“ข้ามิว่าง” นั่นคือคำตอบที่เขาฝากไป ทำเอาพ่อบ้านสกุลหลินถึงกับหน้าถอดสี มิคิดว่านายน้อยของจวนจะกล้าต่อต้านบิดาเพียงนี้ และยังขึ้นรถม้าไปโดยมิใส่ใจ เขาก็แค่บ่าวไหนเลยจะกล้าสั่งสอนแม่ทัพใหญ่ของแคว้น
จางจื่อมองคนตัวโตนิ่ง มิกล้าเอ่ยถามถึงเรื่องที่ทำให้เขาดูหงุดหงิด
“ได้ยินว่าท่านแม่ทัพยังมิทันเข้าไปคำนับท่านโหวตั้งแต่กลับมา ดูท่าเรื่องที่เขาไม่อยากแต่งงานกับคนสกุลเกาจะเป็นเรื่องจริง เขามิกลัวโทษต่อต้านบิดาหรืออย่างไร” ในหัวจางจื่อกำลังนึกถึงโทษทัณฑ์ที่นางเองก็เกือบจะได้รับเมื่อสามปีก่อน หากมิยอมเข้าพิธีแต่งตั้งเป็นสนมของฮ่องเต้ในยามนั้น ด้วยข้อหาต่อต้านบุพการี
ถึงจะหัวแข็งเพียงใด แต่ถ้าผู้ที่รับกรรมไปด้วยคือมารดา เกาจิวซูผู้ที่อยู่ในร่างนี้ก็มิอาจตัดใจทำตามความต้องการของตนเองได้ สุดท้ายก็กลายเป็นจุดจบและจุดแปรผันของชีวิต จนได้มาอยู่ในร่างนี้แทน
“มองหน้าพี่เช่นนี้สงสัยอันใดกันฮึ” น้ำเสียงอ่อนโยนเปล่งออกมาเช่นเคย จางจื่อจึงอดมิได้ที่จะถามเขา
“ไยพี่มิกลับจวนสกุลหลินเจ้าคะ” ถามแล้วก็จ้องหน้ารอคำตอบตาใส ทำเอาคนตัวโตถึงกับชะงักไปชั่วครู่ เพราะคนน้องยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ
“อยากถามเรื่องอื่นมากกว่ากระมัง” แสร้งตอบไปอีกอย่าง แต่มันก็เข้าทางจางจื่อนั่นแหละ
“รู้แล้วก็ตอบสิเจ้าคะ” ยังคงทำหน้าระรื่นใส่ เพราะเริ่มรู้สึกคุ้นชินกับพี่ชายต่างสายเลือดผู้นี้
“พี่ยังหาทางออกเรื่องการหมั้นหมายมิได้” ตอบสั้นๆ
“เอ๋! มันยากเพียงนั้นเชียว” ถามกลับในสิ่งที่คิด เพราะคิดว่าเขาจะหาทางออกให้ตนเองไว้แล้ว
“มิยากหรอก พี่ก็แค่มิแต่งเท่านั้น” ตอบในสิ่งที่วางแผนเอาไว้ จางจื่อจึงขยับถอยมานั่งพิงขอบหน้าต่าง