บทย่อ
เมื่อมีโอกาสใหม่ให้เลือกอีกครั้ง นางจึงมิขอเข้าวังอีกแล้ว แต่ถึงกระนั้นเรื่องราวของวังหลวง ก็ยังวนเวียนอยู่รอบตัวมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ทว่าครานี้ขอ "หวนชะตา ฝืนลิขิตรัก" ดูสักทีเถอะ
1. แม่ทัพหลินไป่เหอ
นัยน์ตาคมของบุรุษหนุ่มรูปงามมองไปยังกำแพงเมืองหลวงซึ่งมีพื้นที่ตั้งอยู่บนเขา เส้นทางพักม้าจึงสามารถมองเห็นได้แม้จะไกลนับสิบลี้ เพราะหอคอยมีความสูงแปดชั้นตั้งเด่นเป็นสง่า ทว่าอยู่ไกลก็สามารถมองเห็นแสงระยิบระยับจากบนยอดอันสูงสุดได้
นานแล้วที่พวกเขามิได้กลับเมืองหลวงหลังจากออกทำศึก หากนับเวลาก็เกือบสิบปี แม้จะไปๆ มาๆ อยู่บ้าง แต่ก็อยู่มิเคยถึงห้าวันเลยสักที ก็ต้องเดินทางออกรบอีกครา ทว่าศึกแต่ละครั้งก็มิเกินกลยุทธ์ของแม่ทัพผู้มีความเฉลียวฉลาด ซึ่งสามารถรบได้โดยมิต้องเสียไพร่พลมาก
ทุกแคว้นต่างก็ยอมจำนนแต่โดยดี และตกเป็นเมืองขึ้นโดยมิอาจขัด สุดท้ายก็มาจบที่เผ่าอูไกว และเขากำลังนำตัวกบฏมาพิพากษายังเมืองหลวง โดยนั่งรถลากติดลูกกรงเช่นนักโทษทั่วไป มิมีปรานีแม้แต่น้อย
การเดินทางใกล้จะสิ้นสุด เสียงพูดคุยยินดีจึงดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมองเห็นหอคอยอยู่มิไกล
“เรากลับถึงเมืองหลวงแล้วขอรับ” กวนหย่งคนสนิทแม่ทัพหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงปีติ
“หึ!.ข้ารู้ว่าเจ้าต้องคิดถึงแม่นางผิงเอ๋อล่ะสิ ถึงได้เอ่ยเช่นนี้” จูโม่ คนสนิทอีกหนึ่งของแม่ทัพเย้าสหาย กลุ่มเขามีกันเจ็ดคน ล้วนแต่เป็นผู้ติดตามของท่านแม่ทัพทั้งสิ้น แต่ก็ยังมีทหารที่คุมนักโทษตามมาอีกจำนวนหนึ่ง
หลินไป่เหอ แม่ทัพหนุ่มวัยยี่สิบแปดปี ท่าทางสง่างามน่าเกรงขาม พูดน้อย จะเปล่งถ้อยคำกับคนสนิทหรือเกี่ยวกับงานเท่านั้น หากเอ่ยง่ายๆ เขาก็เป็นประเภทเย็นชาไร้หัวใจนั่นแหละ เป็นคนเด็ดขาด และมีความเหี้ยมในตัวจนศัตรูได้ยินชื่อก็ขยาด แม้แต่คนในแคว้นก็มองว่าเขาไร้ปราณี มิมีผู้ใดอยากข้องเกี่ยวหรือมีปัญหาด้วย
“ท่านแม่ทัพ จะไม่โกนหนวดเคราเสียหน่อยหรือขอรับ กลับไปทั้งอย่างนี้นายท่านคงต้องตำหนิเป็นแน่”
“เจ้าคิดว่านายน้อยจะสนใจกระนั้นหรือจูโม่ นายท่านมิเคยใส่ใจนายน้อยของเรามาแต่ไหนแต่ไร ครานี้ก็คงมิต่างกันหรอก” กวนหย่งหันมากระซิบกับสหาย ซึ่งบังคับม้าเดินอยู่ด้านหลังผู้เป็นนาย และมันหยุดลงกระทันหันพร้อมกับหันมาหาเหล่าผู้ติดตาม
“ข้าจะไปทั้งอย่างนี้ ใครรับได้ก็รับ รับมิได้ก็แล้วแต่” เอ่ยจบก็บังคับหันหัวม้ากลับทางเดิม สายตานั้นว่างเปล่าไร้ความรู้สึก เป็นปกติที่เขาจะเป็นเช่นนี้ ยามเอ่ยถึงครอบครัวสกุลหลิน ซึ่งมิได้ยินดีที่เขาไปเป็นแม่ทัพ บิดาอยากให้เป็นขุนนางในราชสำนักเสียมากกว่า
ผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ [15 นาที] ทั้งเจ็ดก็มาถึงหน้าประตูเมือง ซึ่งมีการต้อนรับจากขุนนางน้อยใหญ่ รวมถึงกงกงผู้คอยรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้
“มิเห็นต้องลำบากพวกท่านให้มารอข้าที่นี่เลย” ไป่เหอเอ่ยกับทุกคน ก่อนจะคำนับผู้อาวุโสทุกท่าน แม้จะเป็นคนแข็งๆ ทว่าเขาก็รู้กาละเทศะอยู่บ้าง
เสียงพูดคุยแสดงความยินดีดังแข่งกันในเวลาต่อมา แต่บางคนก็ยืนมองเฉยๆ ราวกับถูกบังคับมาเสียอย่างนั้น ซึ่งแม่ทัพหนุ่มก็พอจะมองออก
“แม่ทัพหลินทำคุณงามความดีให้แคว้นเช่นนี้ พวกเราออกมาต้อนรับก็สมควรแล้ว” กงกงเอ่ยนำทุกคน ก่อนจะพูดคุยต่อพอเป็นพิธี จากนั้นก็ตรงเข้าวัง ซึ่งสองข้างทางมีเสียงของชาวเมืองส่งเสียงสรรเสริญตลอด
จวบจนเข้าถึงเขตพระราชฐานด้านใน ทุกคนก็ถูกปลดอาวุธออกจนหมด ก่อนจะเดินผ่านประตูวัง ซึ่งสองฝั่งคือกำแพงสูงเท่าหอคอยสามชั้น ด้านบนมีพลธนูคอยสอดส่องผู้ที่เดินเข้ามา เป็นปกติของการรักษาความปลอดภัยในวัง
ท้องพระโรง เหล่าขุนนางยืนเรียงแถวตามตำแหน่งของตน ยามนี้หลินไป่เหอคุกเข่าอยู่ตรงหน้าแท่นบัลลังก์ มีทั้งสายตาชื่นชมและมิชอบใจส่งผ่านออกมาหาเขา รวมถึงบิดาที่ยืนอยู่มิไกล มีตำแหน่งโหวซึ่งตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น อีกมินานบุตรชายคนโตก็คงได้รับสืบทอดเช่นกัน
ทว่า บุตรคนโตมิใช่หลินไป่เหอ แต่เป็นบุตรฮูหยินคนปัจจุบัน ซึ่งนางพึ่งแต่งเข้ามาหลังมารดาแม่ทัพเสีย เอ่ยให้เข้าใจง่ายก็คือ มารดาเขาแต่งเป็นฮูหยินใหญ่ของจวนโหวแต่ก็ยังมิมีบุตร บิดาก็แอบคบชู้กับบุตรสาวสกุลจางจนนางเกิดตั้งครรภ์ จึงต้องตบแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินรอง
ไม่ถึงปีมารดาก็ตั้งครรภ์เขา คลอดได้มิถึงสามปีนางก็ป่วยตายด้วยโรคประหลาด ครานั้นเขามีเพียงพ่อบ้านเฉิงและแม่นมหวังคอยดูแล จึงสามารถเติบใหญ่ได้จนถึงวัยเรียน หลังจากนั้นไทเฮาองค์ปัจจุบันก็รับเขาเข้าวัง ให้เป็นเพื่อนเล่นและเรียนรู้ทุกอย่างกับองค์รัชทายาท ซึ่งยามนี้ได้กลายมาเป็นฮ่องเต้ผู้อยู่เหนือหัวทุกคนแล้ว
จึงมิแปลกที่เขาจะไม่ใส่ใจใยดีครอบครัว และทำตามใจตนเอง โดยมีฮ่องเต้คอยหนุนหลังในฐานะสหายรัก ทำให้ขุนนางบางคนเกรงอำนาจของเขาอยู่มิน้อย ตราพยัคฆ์ก็อยู่ในมือของหลินไป่เหอ โดยมิได้แยกออกจากกัน บ่งบอกถึงความไว้เนื้อเชื่อใจของฮ่องเต้ที่มีต่อเขา
“ฝ่าบาทเสด็จ” เสียงยานจากหลี่กงกงเปล่งออกมา ทุกคนจึงโค้งคำนับผู้เป็นนายเหนือหัว พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำสรรเสริญเช่นทุกครั้งมิแตกต่างกันสักวัน
“ไม่ต้องมากพิธี ไป่เหอเจ้ากลับมาแล้ว ข้าดีใจยิ่งนัก” น้ำเสียงนั้นตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“กระหม่อมนำลั่วถิงฟงมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะลงโทษเช่นไรก็สุดแล้วแต่ แม้จะมีผู้หนีรอดไปบ้าง ทว่าคงมิอาจสร้างผลร้ายต่อแคว้นเราได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านแม่ทัพเหตุใดถึงปล่อยให้มีคนหนีรอดไปได้ล่ะ” เสนาซ้ายผู้มิชอบใจแม่ทัพหนุ่มมาแต่ไหนแต่ไร สาเหตุก็มาจากหลินไป่เหอได้ครองตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ แทนที่จะเป็นบุตรชายคนโตของเขาซึ่งทำหน้าที่มาก่อน
“จับกบฎนับแสน มิให้เหลือรอดข้าคงทำมิได้ แต่ถ้าท่านเสนาอยากลอง ศึกหน้าข้าจะพาท่านไปด้วยดีหรือไม่” หันกลับมาถาม สายตานั้นคมดุหาได้เกรงตำแหน่งของอีกฝ่าย ทำเอาขุนนางเฒ่าถึงกับขบกรามแน่น
“นั่นสิ กั่วเล่อก็ไปปราบโจรภูเขามิใช่หรือ นี่ก็ครึ่งปีแล้วเหตุใดยังมิมีความคืบหน้ามารายงานเสียที มิใช่บุตรชายท่านเสนาถูกจับไปแล้วหรือ ไยมิส่งข่าวเลย” เสียงจากเบื้องบนเปล่งลงมา ทำเอาเสนาซ้ายหน้าถอดสีทันที
“เอ่อ..เรื่องนี้กระหม่อมก็มิได้ข่าวเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” ตอบไปตามจริง ตั้งแต่บุตรชายเดินทางไปปราบโจรป่า ก็ส่งข่าวมาแค่หนเดียวเมื่อสามเดือนก่อน จากนั้นก็เงียบหายไป มิรู้เป็นตายร้ายดีเช่นไร เพราะส่งคนไปสืบก็หายตัวไปเช่นกัน แม้แต่คนของทางการก็ยังมิกลับมา
“หึ! เรื่องนี้ข้าให้เทียนอวี้ไปจัดการแล้ว เกิดเรื่องใดขึ้นอีกมินานก็คงรู้ เอาล่ะมาตัดสินเรื่องโทษทัณษ์ของกบฎดีกว่า” ฮ่องเต้ตัดบทเรื่องนี้ เพราะเกรงว่าในท้องพระโรงจะมีเส้นสายของกลุ่มโจรในเมืองเป่ย