2. กลับเมืองหลวง
ผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ [15 นาที] ทั้งเจ็ดก็มาถึงหน้าประตูเมือง ซึ่งมีการต้อนรับจากขุนนางน้อยใหญ่ รวมถึงกงกงผู้คอยรับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้
“มิเห็นต้องลำบากพวกท่านให้มารอข้าที่นี่เลย” ไป่เหอเอ่ยกับทุกคน ก่อนจะคำนับผู้อาวุโสทุกท่าน แม้จะเป็นคนแข็งๆ ทว่าเขาก็รู้กาละเทศะอยู่บ้าง
เสียงพูดคุยแสดงความยินดีดังแข่งกันในเวลาต่อมา แต่บางคนก็ยืนมองเฉยๆ ราวกับถูกบังคับมาเสียอย่างนั้น ซึ่งแม่ทัพหนุ่มก็พอจะมองออก
“แม่ทัพหลินทำคุณงามความดีให้แคว้นเช่นนี้ พวกเราออกมาต้อนรับก็สมควรแล้ว” กงกงเอ่ยนำทุกคน ก่อนจะพูดคุยต่อพอเป็นพิธี จากนั้นก็ตรงเข้าวัง ซึ่งสองข้างทางมีเสียงของชาวเมืองส่งเสียงสรรเสริญตลอด
จวบจนเข้าถึงเขตพระราชฐานด้านใน ทุกคนก็ถูกปลดอาวุธออกจนหมด ก่อนจะเดินผ่านประตูวัง ซึ่งสองฝั่งคือกำแพงสูงเท่าหอคอยสามชั้น ด้านบนมีพลธนูคอยสอดส่องผู้ที่เดินเข้ามา เป็นปกติของการรักษาความปลอดภัยในวัง
ท้องพระโรง เหล่าขุนนางยืนเรียงแถวตามตำแหน่งของตน ยามนี้หลินไป่เหอคุกเข่าอยู่ตรงหน้าแท่นบัลลังก์ มีทั้งสายตาชื่นชมและมิชอบใจส่งผ่านออกมาหาเขา รวมถึงบิดาที่ยืนอยู่มิไกล มีตำแหน่งโหวซึ่งตกทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น อีกมินานบุตรชายคนโตก็คงได้รับสืบทอดเช่นกัน
ทว่า บุตรคนโตมิใช่หลินไป่เหอ แต่เป็นบุตรฮูหยินคนปัจจุบัน ซึ่งนางพึ่งแต่งเข้ามาหลังมารดาแม่ทัพเสีย เอ่ยให้เข้าใจง่ายก็คือ มารดาเขาแต่งเป็นฮูหยินใหญ่ของจวนโหวแต่ก็ยังมิมีบุตร บิดาก็แอบคบชู้กับบุตรสาวสกุลจางจนนางเกิดตั้งครรภ์ จึงต้องตบแต่งเข้ามาเป็นฮูหยินรอง
ไม่ถึงปีมารดาก็ตั้งครรภ์เขา คลอดได้มิถึงสามปีนางก็ป่วยตายด้วยโรคประหลาด ครานั้นเขามีเพียงพ่อบ้านเฉิงและแม่นมหวังคอยดูแล จึงสามารถเติบใหญ่ได้จนถึงวัยเรียน หลังจากนั้นไทเฮาองค์ปัจจุบันก็รับเขาเข้าวัง ให้เป็นเพื่อนเล่นและเรียนรู้ทุกอย่างกับองค์รัชทายาท ซึ่งยามนี้ได้กลายมาเป็นฮ่องเต้ผู้อยู่เหนือหัวทุกคนแล้ว
จึงมิแปลกที่เขาจะไม่ใส่ใจใยดีครอบครัว และทำตามใจตนเอง โดยมีฮ่องเต้คอยหนุนหลังในฐานะสหายรัก ทำให้ขุนนางบางคนเกรงอำนาจของเขาอยู่มิน้อย ตราพยัคฆ์ก็อยู่ในมือของหลินไป่เหอ โดยมิได้แยกออกจากกัน บ่งบอกถึงความไว้เนื้อเชื่อใจของฮ่องเต้ที่มีต่อเขา
“ฝ่าบาทเสด็จ” เสียงยานจากหลี่กงกงเปล่งออกมา ทุกคนจึงโค้งคำนับผู้เป็นนายเหนือหัว พร้อมกับเอ่ยถ้อยคำสรรเสริญเช่นทุกครั้งมิแตกต่างกันสักวัน
“ไม่ต้องมากพิธี ไป่เหอเจ้ากลับมาแล้ว ข้าดีใจยิ่งนัก” น้ำเสียงนั้นตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“กระหม่อมนำลั่วถิงฟงมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะลงโทษเช่นไรก็สุดแล้วแต่ แม้จะมีผู้หนีรอดไปบ้าง ทว่าคงมิอาจสร้างผลร้ายต่อแคว้นเราได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านแม่ทัพเหตุใดถึงปล่อยให้มีคนหนีรอดไปได้ล่ะ” เสนาซ้ายผู้มิชอบใจแม่ทัพหนุ่มมาแต่ไหนแต่ไร สาเหตุก็มาจากหลินไป่เหอได้ครองตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ แทนที่จะเป็นบุตรชายคนโตของเขาซึ่งทำหน้าที่มาก่อน
“จับกบฎนับแสน มิให้เหลือรอดข้าคงทำมิได้ แต่ถ้าท่านเสนาอยากลอง ศึกหน้าข้าจะพาท่านไปด้วยดีหรือไม่” หันกลับมาถาม สายตานั้นคมดุหาได้เกรงตำแหน่งของอีกฝ่าย ทำเอาขุนนางเฒ่าถึงกับขบกรามแน่น
“นั่นสิ กั่วเล่อก็ไปปราบโจรภูเขามิใช่หรือ นี่ก็ครึ่งปีแล้วเหตุใดยังมิมีความคืบหน้ามารายงานเสียที มิใช่บุตรชายท่านเสนาถูกจับไปแล้วหรือ ไยมิส่งข่าวเลย” เสียงจากเบื้องบนเปล่งลงมา ทำเอาเสนาซ้ายหน้าถอดสีทันที
“เอ่อ..เรื่องนี้กระหม่อมก็มิได้ข่าวเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” ตอบไปตามจริง ตั้งแต่บุตรชายเดินทางไปปราบโจรป่า ก็ส่งข่าวมาแค่หนเดียวเมื่อสามเดือนก่อน จากนั้นก็เงียบหายไป มิรู้เป็นตายร้ายดีเช่นไร เพราะส่งคนไปสืบก็หายตัวไปเช่นกัน แม้แต่คนของทางการก็ยังมิกลับมา
“หึ! เรื่องนี้ข้าให้เทียนอวี้ไปจัดการแล้ว เกิดเรื่องใดขึ้นอีกมินานก็คงรู้ เอาล่ะมาตัดสินเรื่องโทษทัณษ์ของกบฎดีกว่า” ฮ่องเต้ตัดบทเรื่องนี้ เพราะเกรงว่าในท้องพระโรงจะมีเส้นสายของกลุ่มโจรในเมืองเป่ย
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม [1 ชั่วโมง] การประชุมและบทลงโทษก็สิ้นสุด รวมถึงการยื่นฎีกาของเหล่าขุนนาง จนกระทั่งฮ่องเต้สั่งให้ยุติการประชุมครานี้
หลินไป่เหอได้รับบำเหน็จมากมาย รวมถึงจวนหลังใหม่ ซึ่งอยู่ทิศเหนือของเมือง เป็นฮวงจุ้ยที่เหล่าขุนนางต่างก็อยากครอบครอง แต่ต้องผ่านความเห็นชอบมากมายจึงสามารถเป็นเจ้าของได้ บริเวณนี้จึงมีแต่ราชนิกูลและขุนนางที่มีความดีความชอบมากจริงๆ จึงจะได้รับ
“ดีจริง เช่นนี้นายน้อยก็มิต้องทนอยู่ในจวนนั้นแล้วนะขอรับ ที่นี่สวยงามยิ่งนัก” จูโม่เอ่ยพร้อมกับเดินชื่นชมบริเวณจวนซึ่งมันโอ่อ่าอลังการมิต่างจากจวนอ๋องเลย
“ข้าอยากพัก พวกเจ้าก็ไปพักเถอะ” เสียงเรียบเปล่งออกมา ก่อนจะเดินตามพ่อบ้านเฉิง คนของเขาที่ย้ายมาอยู่ที่นี่รอให้ผู้เป็นนายกลับมาเป็นเดือนแล้ว
“เสียงอะไร?” แม่ทัพหนุ่มเอ่ยเบาๆ กับตนเอง เมื่อขึ้นห้องมาแล้ว ระดับของเรือนนั้นยกสูงมีบันไดเดินขึ้นเจ็ดขั้น จึงทำให้อยู่ในระดับกำแพงพอดี สามารถมองเห็นจวนข้างๆ ได้โดยมิต้องขึ้นหลังคา ระดับชั้นบ้านเรือนนั้นจะลดหลั่นเพราะอยู่บนเขา ผู้ที่อยู่สูงกว่าจึงเห็นด้านล่างง่าย
“พี่มู่ชิงรับนะ ข้าจะโยนลงไปแล้ว” เสียงใสตะโกนบอกสาวใช้ซึ่งอยู่คนละฝั่งกำแพง ให้รอรับผลพุทราที่ตนกำลังเก็บ ซึ่งมันมิได้อยู่ในเขตเรือนนางแม้แต่น้อย
“มาอีกแล้ว เจ้าเด็กขี้ขโมย ลงมาให้จับเสียดีๆ นะ” เสียงตวาดของคนสวนดังขึ้น หากจะว่าไปมันก็เกิดขึ้นแทบจะทุกวัน เพราะคนผู้นี้มักจะมาขโมยเก็บเวลาเดิม
“ท่านน้า ปล่อยไว้ก็มีแต่จะเสียเปล่า ให้ข้าเก็บน่ะดีแล้วนะเจ้าคะ อย่างน้อยเลี้ยงคนก็ดีกว่าเลี้ยงนกนะ” ตอบกลับหน้าตาย ท่าทางมิได้ตื่นกลัวแม้เพียงนิด
“แต่ก่อนมิมีคนอยู่ข้ามิว่า แต่ยามนี้มีเจ้าของแล้ว เจ้าห้ามมายุ่มย่ามที่นี่อีก รู้หรือไม่ผู้ใดเป็นเจ้าของ” คนใต้ต้นไม้หมายจะขู่ให้ผู้ที่อยู่ด้านบนกลัว
“ใครหรือ? จอมมารหรือว่าปีศาจ” เด็กสาวก็ยังคงย้อนกลับมิตื่นกลัวเช่นเดิม ทำเอาผู้ที่ยืนฟังอยู่ตรงระเบียงอดขันมิได้
“หึ! นี่ข้ากลายเป็นจอมมาร เป็นปีศาจไปแล้วกระนั้นหรือ” แม่ทัพหนุ่มคิดในใจ
“ข้าจะบอกเจ้าให้ ผู้ที่อาศัยอยู่ในจวนนี้น่ากลัวกว่าจอมมารเสียอีก สังหารคนไม่กะพริบตา โหดเหี้ยม ไว้หนวดเครา หากเขารู้ว่าเจ้าย่างกลายเข้ามา ครอบครัวเจ้าต้องตายกันหมดมิมีเหลือเป็นแน่”เสียงข่มขู่ดังขึ้น
หวังให้ผู้ที่อยู่บนต้นพุทราตื่นกลัว และดูเหมือนจะได้ผลเมื่อมิเห็นตอบกลับมาเลย ทว่าคนที่อยู่บนต้นไม้หาใช่เด็กอย่างที่คิด นางคือสตรีรูปร่างอรชรวัยสิบเจ็ดต่างหาก และยังมีใบหน้างดงามราวกับภาพวาด นัยน์ตากลมโตมิต่างจากกวางน้อย น่าหลงใหลยิ่งนัก
นางกำลังย่างกลายขึ้นไปบนหลังคากำแพงด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ยืนอยู่ด้านบนมิเกรงว่าตนจะตกลงไปแม้แต่น้อย ชายกระโปรงสีขาวพลิ้วไหวตามแรงลม นิ้วสวยยกขึ้นปัดปอยผมที่ปรกลงมาออกเผยใบหน้างาม
“ร้ายกว่าจอมมารข้าก็มิกลัวหรอกนะ วันพรุ่งข้าจะมาเก็บอีก ถ้าหวงนักก็ตัดทิ้งไปสิ” เอ่ยจบแล้วนางก็ยกมือลา ร่างเล็กไต่ไปตามขอบหลังคาอีกฝั่งซึ่งมีบันไดพาดอยู่
ทุกอย่างเงียบหายไปพร้อมกับเสียงถกเถียงกัน ทว่า แม่ทัพหนุ่มกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม “นางเป็นใครกัน ไยถึงมีใบหน้างดงามนัก” ความสงสัยเกิดขึ้นในใจ จนอดมิได้ที่จะให้คนของตนสืบดู แค่หนึ่งวันเขาก็รู้ว่านางคือใคร
“หยวนจางจื่อ บุตรสาวคนเล็กของท่านราชครูหยวน นี่เจ้าตัวน้อยของข้าโตเป็นสาวเพียงนี้เชียว” เอ่ยแล้วก็นึกถึงเรื่องเมื่อสิบเอ็ดปีก่อนครานั้นเขาพึ่งอายุสิบเจ็ด จางจื่อในยามนั้นก็แค่หกหนาวเท่านั้นเอง ทว่าบัดนี้นางโตเป็นสาวแล้ว มิหนำซ้ำยังงามสะพรั่งแม้จะเห็นอยู่ไกลๆ