3. 11 ปีก่อน /1
สิบเอ็ดปีก่อน
“จางจื่อเจ้ารอพ่ออยู่ที่นี่นะ อย่าได้ดื้อแอบออกไปเล่นเชียว ที่นี่มีกฎระเบียบมากมายอาจถูกลงโทษได้” ราชครูหยวนเอ่ยกับบุตรสาวซึ่งมีวัยเพียงหกหนาว เด็กน้อยน่าตาน่ารักยิ้มหวานส่งให้บิดาอย่างเชื่อฟัง
“นี่เจ้าเป็นใคร มาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เด็กน้อยรีบหันไปยังที่มา
“ข้าน้อยเป็นบุตรสาวของท่านราชครู ติดตามบิดามาเที่ยวเล่นในวังเจ้าค่ะ” เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายแต่งกายด้วยอาภรณ์งดงาม จางจื่อจึงรีบทำตัวอ่อนน้อม เพราะได้ยินมาว่าในตำหนักนี้เป็นสถานที่เรียนรู้ของบรรดาเหล่าเชื้อพระวงศ์ รวมถึงรัชทายาทที่บิดาคอยสั่งสอนวิชาด้วย
“ชิ!..คงวางแผนจะเข้าใกล้รัชทายาทหรือองค์ชายมากกว่าน่ะสิ อยากเป็นพระชายาสินะ”
“เปล่านะเจ้าคะ” รีบเถียงทันที ทว่าก็มิเป็นผล ผู้มาใหม่หันไปสั่งคนของตนจับร่างเล็กนี้โยนลงน้ำเสียก่อน ซึ่งมันลึกเทียบเท่ากับหอคอยสามชั้นเลยทีเดียว
ไม่มีเสียงร้องขอให้ช่วย เพราะแรงเหวี่ยงนั้นทำให้จมลงลึกในทันที ประกอบกับเด็กน้อยว่ายน้ำมิเป็น มิรู้วิธีช่วยเหลือตนเอง แต่มิกี่อึดใจก็มีเสียงกระโดดลงน้ำตามมา ร่างเล็กของคุณหนูหยวนถูกพาขึ้นมานอนแผ่หราอยู่บนฝั่ง มินานนางก็สำลักน้ำออกจนได้สติ
“จางจื่อ! จางจื่อเป็นเช่นใดบ้างลูกพ่อ”
“ทะ..ท่านพ่อ..ฮึก..คนใจร้าย..คนใจร้ายโยนลูกลงน้ำ” เสียงสั่นเครือปนสะอื้นไห้ดังขึ้น นิ้วมือป้อมๆ ยกชี้ไปยังท่านหญิงสวี่หลิง ซึ่งยามนี้ใบหน้าถอดสี จะเถียงก็เถียงมิได้เพราะผู้ที่ลงไปช่วยจางจื่อขึ้นมาคือรัชทายาทและสหายอย่างหลินไป่เหอ มีพยานเห็นเหตุการณ์หลายคน
“ยะ..อย่ามาใส่ร้ายท่านหญิงนะ เรื่องนี้พวกเราทำเอง ท่านหญิงมิรู้เห็น” สาวใช้ผู้จงรักภักดีรีบแก้ตัวแทน
“หึ! หากเจ้านายเจ้ามิสั่ง มีหรือเจ้าจะกล้า เอาตัวไปขังข้าจะลงโทษคนเหล่านี้เอง” คำสั่งจากรัชทายาทวัยสิบเจ็ดมิมีผู้ใดกล้าขัด ท่านหญิงสวี่หลิงในวัยสิบสามปีถึงกับหน้าถอดสี จะร้องขอให้ใครช่วยก็มิอาจทำได้
“ขอบพระทัยรัชทายาทที่ช่วยบุตรสาวของกระหม่อมไว้พ่ะย่ะค่ะ” ราชครูหยวนเอ่ยกับผู้เป็นนาย
“จางจื่อก็เหมือนน้องสาวข้า จะปล่อยให้ถูกรังแกได้เช่นไร วันนี้พอแค่นี้เถอะ ท่านพานางกลับไปพักดีกว่า อย่าลืมหายาให้กินเสียด้วยล่ะ ประเดี๋ยวจะจับไข้เอา” เสียงทุ้มอ่อนโยนทำให้เด็กน้อยปลื้มปีติอยู่มิน้อย
“มิคิดว่าท่านหญิงจะร้ายกาจเพียงนี้นะพ่ะย่ะค่ะ สตรีเช่นนี้หรือที่ไทเฮาหมายจะให้เป็นพระชายาพระองค์ กระหม่อมนึกภาพมิออกเลย ว่าเหล่าสนมของพระองค์จะถูกกลั่นแกล้งเพียงใด” ไป่เหอเอ่ยกับรัชทายาท สีหน้าเขาเป็นกังวลแทนสหายอย่างเห็นได้ชัด เสียงถอนหายใจจากรัชทายาทเสวียนอวี้ดังขึ้น ก่อนจะนั่งในศาลา
“เสด็จย่าคงเกรงว่าสกุลฟานจะมิมีอำนาจอีก จึงพยายามจับคู่ให้ข้ากับหลานสาวพระองค์เช่นนี้” น้ำเสียงนั้นเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด
“พระองค์ก็ใช้เรื่องนี้จัดการท่านหญิงไปเลยมิดีหรือพ่ะย่ะค่ะ ลงโทษตามกฎแต่แสร้งลดหย่อน นางมีมลทิลติดตัวเช่นนี้ ก็มิอาจดำรงค์ตำแหน่งพระชายาได้แล้ว แม้จะได้แต่งตั้งเป็นสนม แต่ก็ยังมีผู้ที่ฐานะสูงกว่า เช่นนี้นางก็วางอำนาจรังแกผู้อื่นมิได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ไป่เหอเอ่ยแนะทางออก เสวียนอวี้หันมองหน้าเขาพร้อมกับยิ้ม
“เจ้ามันร้ายนัก สตรีก็มิเว้น” แม้จะตำหนิเช่นนั้น ทว่ารัชทายาทหนุ่มก็ทำตามคำของสหาย
วันต่อมาเขาสั่งลงโทษท่านหญิงสวี่หลิงให้สำนึกตนที่หอสดับแสงเป็นเวลาสี่ปี สาวใช้ที่ติดตามนั้นรับโทษประหาร เพราะก่อเหตุต่อหน้าพระพักตร์มิอาจหลบเลี่ยงความผิดได้ สำหรับท่านหญิงถือว่ารัชทายาทปรานีมากแล้ว สร้างความคับแค้นใจให้แก่สกุลฟานเป็นที่สุด
หนึ่งเดือนผ่านไป จางจื่อน้อยก็ได้เข้าวังมาเที่ยวเล่นกับบิดาเช่นเคยแม้จะยังตื่นกลัวจนมิค่อยพูดกับผู้ใด ทว่าทุกคนก็เอ็นดูนาง โดยเฉพาะรัชทายาทและไป่เหอ
เพราะจางจื่อทั้งน่ารักและเรียบร้อย รู้ความไปเสียทุกอย่าง เสียแต่เป็นคนมิค่อยพูดและยอมให้ผู้อื่นกลั่นแกล้งง่ายๆ เช่นวันนี้ พอมิมีรัชทายาทและไปเหออยู่ด้วย
“เด็กคนนี้หรือ ที่ทำให้สวี่หลิงต้องถูกจองจำ” เสียงขุ่นมัวขององค์ชายสี่วัยสิบห้าเปล่งออกมา นัยน์ตานั้นดูอาฆาตมาดร้ายต่อจางจื่อเป็นอย่างมาก
“องค์ชาย นางคือบุตรีราชครูหยวน” ผู้ติดตามขององค์ชายสี่เอ่ยขึ้นด้วยเสียงหยันมิต่างจากผู้เป็นนาย
จางจื่อมิกล้าเงยหน้ามองอีกฝ่าย เกรงจะถูกตำหนิเอาได้ ทำให้องค์ชายหรงเสิ่นยิ่งได้ใจอยากแกล้งคนที่อ่อนแอ่กว่า จึงสั่งให้คนของตนพาตัวนางไปยังสวนท้ายตำหนัก
“ดูทางให้ดี ประเดี๋ยวคนของรัชทายาทมาพบเข้า” เอ่ยสั่งคนของตน ก่อนจะพากันเดินลัดเลาะไปที่หมาย
จางจื่อตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด แต่มิอาจร้องขอให้คนช่วยเพราะถูกมือใหญ่ขององครักษ์ปิดเอาไว้ นางดิ้นรนแต่ตัวเล็กเพียงนี้ไหนเลยจะช่วยตนเองได้ สุดท้ายก็ถูกขังอยู่ในบ่อน้ำซึ่งมีฝาปิดเอาไว้แน่นหนา
ผ่านไปสองคืนก็ยังมิมีใครรู้ว่านางหายไปที่ใด ร่างเล็กกินเพียงน้ำที่อยู่รอบตัว ตื่นกลัวได้แต่ร้องไห้อยู่ในความมืด เรี่ยวแรงนั้นใกล้หมดเต็มที ยังดีที่ระดับน้ำมีแค่อกเท่านั้น นางจึงยังสามารถยืนอยู่ได้ ทว่า มันก็คงอีกมินาน
ในขณะที่ดวงตาสวยใกล้จะปิดลงและร่างกำลังจะจม นางก็เห็นแสงด้านบนสว่างจ้าขึ้นมา เสียงคุ้นหูเปล่งร้องเรียกชื่อ แต่คนที่ไม่ได้กินอะไรเลยมาสองวัน มิมีเรี่ยวแรงจะตอบสนองแล้ว รับรู้เพียงว่ามีมือใหญ่ประคองร่างเอาไว้เท่านั้น ทุกอย่างก็ดับวูบไป
ห้าวันผ่านไป เด็กน้อยก็ตื่นขึ้นมาท่ามกลางเสียงปีติยินดีของคนในครอบครัว นับจากนั้นจางจื่อก็ไม่เข้าวังอีกเลย ไม่พูดไม่จากับผู้ใดเก็บตัวเงียบ
แม้จะถูกซักถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น นางก็มิบอกว่าผู้ใดกันที่ลงมือ ทำให้มิอาจสืบเรื่องราวว่าใครเป็นผู้ทำได้ จะว่านางลงไปเองก็มิมีทางใช่แน่ ตั้งแต่ตกน้ำจางจื่อไม่เข้าใกล้แหล่งน้ำเลยด้วยซ้ำ แม้ยามอาบน้ำยังต้องมีคนเฝ้า
ทว่าช่วงหลังนางดีขึ้น เริ่มออกจากห้องเป็นครั้งคราว เพราะรัชทายาทและไปเหอมาเยี่ยม คอยเอาของเล่นมากมายมาให้ นางจึงเกิดรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง
“ชอบหรือไม่ อันนี้พี่ไปเหอเจ้าทำเองเลยนะ” เสวียนอวี้เอ่ยกับเด็กน้อย ซึ่งนั่งอยู่บนม้าโยกและเขากำลังขยับให้