12.อกตัญญู
“ชิ! มิอยากแต่งก็จะมิแต่งหรือเจ้าคะ มันง่ายเพียงนั้นเชียว โทษต่อต้านบุพการีต้องถูกโบยสามสิบไม้เชียวนะ ไหนจะถูกขับออกจากสกุลอีก มารดาก็ต้องรับโทษไปด้วย” เอ่ยบอกในสิ่งที่ตนได้เผชิญมา ใบหน้านี้ก็หม่นลง
“เด็กโง่ โทษแค่สามสิบไม้พี่มิตายหรอก ส่วนขับออกจากสกุลพี่ก็ไม่เดือดร้อน เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้นยังต้องกลัวอันใดอีก” เขาบอกตามจริง
“แล้วมารดาของพี่ล่ะเจ้าคะ จะปล่อยให้นางรับโทษด้วยหรือ” หันกลับมาถามอย่างสนใจ
“ท่านแม่พี่เสียไปตั้งแต่พี่ห้าขวบแล้ว มิมีผู้ใดต้องมารับโทษด้วยหรอก” บอกพร้อมกับยิ้มอบอุ่นให้คนน้อง จางจื่อเห็นเช่นนั้นก็รีบหันหนีออกไปทางหน้าต่าง แก้มเนียนใสเห่อร้อนขึ้นมาอย่างช่วยมิได้
“ดูอะไร มีสิ่งใดน่าสนใจกระนั้นหรือ” ว่าพร้อมกับขยับตัวลุกมานั่งซ้อนฝั่งเดียวกันกับคนน้อง แขนแกร่งก็ยื่นออกมาจับขอบหน้าต่างเอาไว้ด้วย จึงกลายเป็นโอบกอดเอาร่างเล็กไปโดยปริยาย
จางจื่อตกใจกับการกระทำนี้จนใจเต้นรัว นางถึงกับห่อไหล่เข้าหากัน เมื่อมีสัมผัสอุ่นของลมหายใจแม่ทัพหนุ่มเป่ารดที่ต้นคอขาว แต่อีกฝ่ายคงมิได้คิดอันใด ทำไปก็เพราะความเคยชินเหมือนสมัยก่อนมากกว่า
“ฝั่งนั้นก็มีหน้าต่าง ไยมิดูล่ะเจ้าคะ” แห้วใส่ทันทีเมื่อตั้งสติได้ แต่คนพี่ก็มิได้ขยับออก
“ฝั่งนั้นมิมีเจ้านี่” บอกเสียงทุ้ม และมันดังอยู่ข้างหูนางจนทำให้ขึ้นสีแดงเรื่อลามมายังแก้มจนดูเหมือนลูกตำลึงสุก
“หอมจัง” จู่ๆ แม่ทัพก็เอ่ยเสียงแหบพร่าออกมา ทำเอาคนน้องขนลุกซู่จนมิกล้าขยับตัว ยิ่งไปกว่านั้นคือคนด้านหลังมิยอมขยับออกห่างแม้แต่น้อย ยังคงนั่งซ้อนหลังอยู่เช่นนั้น ซ้ำยังเอาหัวพิงบ่าคนน้องจนหลับไปอีก
“อะไรของเขา ไยมิกลับไปนอนฝั่งตัวเอง” บ่นอีกฝ่ายในใจ แต่ก็มิกล้าขยับเกรงว่าเขาจะตื่น ยามนี้เองจางจื่อจึงได้สำรวจใบหน้าที่เห็นเพียงเสี้ยวมุม “มีรอยแผลบนหน้าผากด้วย คงถูกฟันตอนรบกระมัง เจ็บมากสินะ” คิดสงสารอีกฝ่ายขึ้นมา ก่อนจะมองไปยังมือเขาที่ยังคงจับขอบหน้าต่างอยู่ มันมีรอยแผลเป็นทางยาวดูน่ากลัว
“ตอนที่พบกันคราแรก ท่านก็มีรอยแผลที่หัวไหล่ บนตัวท่านคงมีแต่รอยพวกนี้กระมัง” นางเข้าใจดีว่าการเป็นทหารมิอาจหลีกเลี่ยงเรื่องเช่นนี้ได้ ไหนจะต้องเข่นฆ่าเอาชีวิตผู้อื่นอีก มิเช่นนั้นตนก็ต้องตาย
แม้แต่ตัวนางเองเมื่อครั้งที่ยังเป็นจิวซู ก็เคยปะทะฝีมือกับกลุ่มโจรจนทำให้บาดเจ็บเลือดตกยางออก ในช่วงสามสี่ปีก่อนจะถูกตามกลับมาเรียนรู้ขนบธรรมเนียมมารยาทในวัง เพื่อรับแต่งตั้งเป็นสนมฮ่องเต้ในยามนั้น
หากมิได้เป็นบุตรสาวคนโตของสกุลเกา จิวซูก็คงได้ท่องไปทั่วแคว้น มิต้องตายโดยหาสาเหตุผู้ที่ลงมือมิได้เช่นนี้ ทว่าผู้ที่จะแต่งกับแม่ทัพหนุ่มคือน้องสาวต่างมารดาของนาง
นึกมาถึงตรงนี้เสียงถอนหายใจก็ดังขึ้น เพราะมิมีโอกาสได้รู้จักกับน้องสาวคนนี้เลย เพราะจิวซูย้ายไปอยู่กับท่านยายตั้งแต่สิบขวบ ช่วงนั้นน้องสาวคนนี้พึ่งได้สามขวบ ทำให้เหมือนคนมิรู้จักกัน
พอกลับมาเมืองหลวงช่วงอายุสิบหก นางก็ต้องเข้าวังเรียนรู้ขนบธรรมเนียมจนครบปี จึงได้เข้ารับคัดเลือกเป็นสนมและได้ถูกแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟยในวันนั้นเลย และก็นอนหมดสติในวันนั้นเช่นกัน
“ขยับนอนดีๆ เจ้าค่ะ” เอ่ยบอกพร้อมกับประคองหัวอีกฝ่ายให้หนุนตัก เมื่อเห็นแขนเขาตกลงมา
ไป่เหอทำตามอย่างว่าง่าย โดยมิเปิดเปลือกตาขึ้นเลย ซ้ำยังซุกหน้าใส่ท้องของคนน้องอีกจนจางจื่อถึงกับไปไม่เป็น ใบหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึง
หลังจากเดินทางมาหนึ่งชั่วยาม [1ชั่วโมง] ก็ถึงที่หมาย แต่จางจื่อไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงเรียกอีกฝ่าย ทำให้คนสนิทแม่ทัพแปลกใจจนอดมิได้ที่จะแง้มผ้าม่านเข้ามาดู จางจื่อยิ้มแหยส่งให้ ส่งสัญญาณให้จู่โม่ปลุก
“ท่านแม่ทัพขอรับ ถึงทะเลสาบกั่วหลิงแล้วขอรับ” กล่าวแล้วก็รีบลงจากรถม้ามายืนรอผู้เป็นนาย
ด้านในรถม้าไป่เหอกำลังงัวเงียตื่น พอเปิดเปลือกตาก็เป็นอาภรณ์สีฟ้าอ่อนอยู่ตรงหน้า จึงได้ไล่สายตาขึ้นไปด้านบน จางจื่อนั่งตัวตรงใบหน้าแดงก่ำ ไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย ใจดวงน้อยเต้นรัวยิ่งกว่ากลองศึกเสียอีก
“พี่ทำเจ้าเมื่อยหรือเปล่า” ถามเสียงแหบพร่า
“ก็ลองให้คนนอนหนุนดูสิเจ้าคะ จะได้รู้ว่าเมื่อยหรือไม่” ตอบกลับไม่มองหน้าแม้เพียงนิด
“หึ! เช่นนั้นขากลับพี่ให้เจ้านอนหนุนก็ได้นะ” อีกฝ่ายก็เอ่ยหน้าตาย ก่อนจะขยับตัวลุกผ่านใบหน้าหวาน ซึ่งมันอยู่ห่างนิดเดียวปลายจมูกแทบจะชนกันด้วยซ้ำ
ดวงตาสวยโตขึ้นทันที นางเกือบจะหยุดหายใจกับการกระทำของเขา “ไยต้องเข้ามาใกล้เพียงนี้ด้วย” ก่นว่าอีกฝ่ายในใจ ดูเหมือนไป่เหอเองก็พอจะเดาออก เลยได้แต่ยิ้มกริ่มแล้วลุกขยับมายังที่ของตนบิดขี้เกียจไปมา
“ไปเถอะ ประเดี๋ยวพี่จะไปล่ากวางมาย่างให้กิน” เอ่ยจบก็กุมเอามือเล็กพาออกมาจากรถม้า คนสนิทและผู้ติดตามมองมาด้วยความฉงน
“ข้ามิเคยเห็นท่านแม่ทัพใส่ใจสตรีใดเท่านี้มาก่อนเลย” เป็นจงหลี่ที่เอ่ยขึ้นก่อน
“นั่นสิ “จูโม่สำทับคำ ยกมือขึ้นลูบคางตน
“มิแปลก หากเจ้าอยู่กับท่านแม่ทัพตั้งแต่เป็นนายกองเช่นข้า ก็คงมิเอ่ยเช่นนี้” กวนหย่งเอ่ยบ้าง ก่อนจะเดินตามผู้เป็นนายไปยังเรือนพักข้างทะเลสาบกว้างแห่งนี้
ไป่เหอยังคงมิปล่อยมือจากคนน้อง ทำเอาจางจื่ออดมิได้ที่จะมองเขาด้วยหางตา เป็นจังหวะที่แม่ทัพหนุ่มหันมาพอดี “อึดอัดหรือที่พี่จับมือ หรือว่ารังเกียจมือหยาบกร้านนี้” น้ำเสียงนี้ตัดพ้ออย่างเห็นได้ชัด
“เปล่าเสียหน่อย แค่จะบอกว่าจางจื่อมิใช่เด็ก มิต้องเดินจูงเช่นแต่ก่อนแล้ว ส่วนมือนี้ทำหน้าที่ปกป้องบ้านเมืองจนผาสุข หากจางจื่อเป็นสตรีที่พี่ชอบพอ ก็มีแต่จะปลื้มปีติยินดีเสียมากกว่า” เอ่ยบอกตามจริง
นางมิอยากให้คนตัวโตคิดมากกับถ้อยคำของสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายในแคว้น สตรีเหล่านี้ล้วนแต่มิอยากได้สามีที่ออกรบทำศึกมิวายเว้น เรื่องนี้ไป่เหอรู้มานานแล้ว นี่จึงเป็นอีกสาเหตุที่เขามิยอมแต่งกับผู้ใด