13. พาเที่ยว
ไป่เหอมองคนน้องด้วยสายตาที่มิอาจตีความได้ แม้มันจะดูอบอุ่นแต่จางจื่อก็มิอยากคิดเข้าข้างตนเอง
“เจ้าคิดเช่นนี้จริงหรือ” ถามแผ่วเบา
“เปล่าเจ้าคะ จางจื่อโกหก” ตอบแล้วก็ทำหน้าทะเล้นใส่ ทำเอาคนพี่ถึงกับยิ้มเอ็นดูความขี้เล่นของนาง
เขารู้ว่าจางจื่อคิดอย่างที่พูด แต่นางก็มิชอบประจบเอาใจจึงแสร้งบอกว่าตนโกหก เพียงเท่านี้เขาก็ยิ้มเป็นสุขได้แล้ว “เจ้ารอพี่ในเรือนนะ”
“ขอตกปลานะเจ้าคะ” บอกเสียงหวาน พร้อมกับกะพริบตาอ้อนอีกฝ่าย ทำเอาไป่เหอชะงักไปอีก กว่าจะเรียกสติคืนได้ก็หลายอึดใจ หันมาตอบเสียงเบา
“อืม เดี๋ยวจะให้กวนหย่งอยู่เป็นเพื่อน” เอ่ยแล้วก็หันไปเตรียมอุปกรณ์เข้าป่าล่าสัตว์ พร้อมกับผู้ติดตามของตนที่มิได้มีแค่ที่ตาเห็น เพียงมิได้ปรากฏตัวเท่านั้น
“พี่ไป่เหอ ที่นี่มีไก่ป่าหรือเปล่าเจ้าคะ” คนตัวเล็กยังคงวิ่งมาหาคนที่เตรียมธนู แต่คำเรียกนั้นมันทำแม่ทัพหนุ่มสะดุด เพราะนานแล้วที่มิได้ยินนางเอ่ยเรียกเช่นนี้
“มีสิ เจ้าอยากกินหรือ” ถามพร้อมกับหันมาหาผู้ที่ยืนตรงหน้า ซึ่งมีความสูงแค่ไหล่เขาเท่านั้น เวลาคุยกันเช่นนี้จางจื่อจึงต้องแหงนหน้าคุยกับคนพี่
“ก็อยากกินอยู่นะเจ้าคะ เคยได้ยินว่าเนื้อมันอร่อยกว่าไก่เลี้ยงมาก” พูดแล้วก็ทำตาใสใส่
“อืม เช่นนั้นพี่จะจับมาให้เจ้าชิม” พูดพร้อมกับยกมือวางบนหัว ซ้ำยังโน้มหน้าลงมาอยู่ระดับเดียวกัน ช่วงเวลานี้เองที่เหมือนทุกอย่างหยุดการเคลื่อนไหว มีเพียงเสียงลมพัดพากิ่งไม้ และเสียงหัวใจที่เต้นดังของทั้งคู่
“ไยต้องก้มลงมาใกล้เพียงนี้ด้วย ถอยออกไปนะ” ถึงจะตำหนิเขาในใจ แต่จางจื่อก็มิคิดจะขยับออกเช่นกัน หากมิมีเสียงของธนูหล่นพื้นเพราะจูโม่ทำตก ไป่เหอก็คงไม่ขยับออก เขายืดตัวตรงเอ่ยเสียงทุ้มกับคนน้อง
“พี่ไปนะ อย่าดื้อเถลไถลไปไหนล่ะ” บอกแล้วก็ยีหัวสองที แล้วเดินผละออกไปยังทางขึ้นเขา
“เห้อ! ทำไมใจเราถึงเต้นแรงเพียงนี้นะ” ถอนหายใจพร้อมกับยกมือขึ้นมาจับที่หน้าอกตัวเอง
“คุณหนูได้เหยื่อแล้วขอรับ” กวนหย่งร้องบอกที่ท่าน้ำ ทุกอย่างมีครบหมดหาเพียงพวกหนอนแมลงมาเป็นเหยื่อเท่านั้น จางจื่อยิ้มกว้างก่อนจะวิ่งไปยังที่ตกปลา
ไป่เหอพาคนไปเพียงแค่ห้า เหลือให้ดูแลคนน้องอีกจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นผ่านไปครึ่งชั่วยาม [1ชั่วโมง] เขาก็ล่าไก่ป่ามาได้ห้าตัวพร้อมด้วยกวางอีกสอง
ด้านจางจื่อกำลังสนุกกับการตกปลา เพราะมิได้ทำเรื่องเช่นนี้มานานมากแล้ว ตั้งแต่กลับเข้าเมืองหลวงเมื่อกว่าสี่ปีก่อน
“คุณหนูเก่งมากเลยขอรับ มิคิดว่าจะชำนาญการตกปลาเพียงนี้ คืนนี้ดูท่าเราคงจะมีของกินมากมายเป็นแน่” กวนหย่งเอ่ยชม เขามิเคยเห็นสตรีใดคล่องแคล่วเรื่องหากินเช่นนี้ มีแต่นั่งเย็บปักถักร้อยเสียมากกว่า
“เอ๋! ไยพี่ถึงเอ่ยว่าคืนนี้ล่ะ เรามิกลับเมืองหลวงหรือ”
“นี่ท่านแม่ทัพมิได้บอกหรือขอรับ ฝ่าบาทเสด็จมาพำนับที่เรือนน้ำตกทางทิศเหนือของเขาลูกนั้น คาดว่าคืนนี้คงจะมาดื่มกินกันที่นี่เป็นแน่” รีบบอกในสิ่งที่นางสงสัย
“เป็นเช่นนี้เองหรือ” เมื่อรู้แล้วนางก็มิใส่ใจเรื่องนี้อีก จากที่เคยฉงนว่าเหตุใดบิดาจึงยอมให้แม่ทัพหนุ่มพามาไกลเพียงนี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะพี่ชายนางอยู่มิไกลนี่เอง
“คุณหนูท่านแม่ทัพกลับมาแล้วขอรับ” กวนหย่งรีบบอก จางจื่อหันไปตามนิ้วชี้ของอีกฝ่าย เมื่อเห็นคนพี่ถือไก่ติดมือมาด้วยก็วิ่งออกไปรับอย่างดีใจ
“ว๊าว!..ตัวใหญ่จังเลย” นางร้องเสียงใส ทำเอาเหล่าผู้ติดตามถึงกับยิ้มเอ็นดูกับความสดใสร่าเริงนี้
“พวกเจ้าเอาไปจัดการเถอะ ฝ่าบาทเสด็จมาถึงจะได้เสวยเลย” ส่งไก่ให้คนของตนแล้วก็หันมาหาคนน้อง ซึ่งยังคงมองตามสัตว์ป่าที่เขาล่ามาได้ ไป่เหอยิ้มเอ็นดูก่อนจะโน้มหน้าลงมาหาจนห่างแค่คืบ
“พี่มีอีกอย่างมาให้เจ้านะ” จางจื่อรีบหันมาจนแก้มชนเข้ากับบางสิ่งเย็นและนุ่ม ดวงตาสวยโตมิต่างกับกวางน้อยยามตกใจ ก่อนจะยิ้มร่าเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในมือเขา
“กระรอกหรือเจ้าคะ” ริมฝีปากอิ่มยิ้มกว้าง มองดูกระรอกสีขาวตัวน้อย ซึ่งมันน่าจะตกลงมาจากรังซึ่งอยู่บนต้นไม้สูง “น่ารักจังเลี้ยงไว้ได้หรือไม่เจ้าคะ” ว่าพร้อมกับใช้นิ้วเขี่ยหัวของมันสลับกันไปมา
“ได้สิ หากล้วยหรือนมให้มันกินก็น่าจะรอดนะ” คนพี่เอ่ยบอกเสียงอ่อนโยน จางจื่อเงยหน้ายิ้มร่าใส่เขาจนตาหยี เป็นเหตุให้แม่ทัพหนุ่มใจเต้นแรงจนเกรงว่านางจะได้ยิน
“เจ้าถือไว้ พี่จะทำกรงใส่ มันจะได้มิหนี ประเดี๋ยวจะให้จูโม่ไปเอานมที่เรือนน้ำตกมา มันจะได้ไม่หิวตายเสียก่อน”
“เจ้าค่ะ” ตอบรับพร้อมกับแบมือให้เขาวางกระรอกน้อยลง ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้มเช่นเดิม ไป่เหออดมิได้ที่จะหยิกแก้มนางจริงๆ ยิ่งอยู่ใกล้ยิ่งเห็นถึงความน่ารักที่มี ใจเขามันก็เต้นแรงอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน