8. ชิดใกล้
จางจื่อนั่งนิ่งอยู่ในห้องโถงของจวนแม่ทัพ ดูคนของเขาใส่ยาให้ บาดแผลดูน่ากลัวคงจะถูกดาบฟันเอากระมัง
“จ้องเพียงนี้มิกลัวหรือ” ไป่เหอเอ่ยถามคนน้อง ซึ่งนั่งมองไม่มีทีท่าตื่นกลัว หรือแม้แต่ย่นคิ้วยามเห็นเลือด
“แผลอยู่บนตัวท่านแม่ทัพมิใช่หรือ ไยข้าจะต้องกลัว” ตอบอย่างที่คิด ทำเอาไป่เหอถึงกับผูกคิ้วเข้าหากัน
“มิเจอกันนานเจ้าหัดพูดจาห้วนเช่นนี้แล้วหรือ” มิเอ่ยเปล่าแต่เดินเข้ามาหาคนน้องด้วย ทำเอาจางจื่อถึงกับหน้าเสีย เมื่อเห็นท่าทางดุของเขา
“เปล่าเสียหน่อย จางจื่อก็แค่ไม่ชิน เรามิเจอกันตั้งเกือบสิบปีมิใช่หรือ จะให้เป็นเหมือนเดิมได้เยี่ยงไร”
“ฟังมิขึ้นเลยนะคำตอบเจ้า” คนพี่ก็มิยอมแพ้ ดูเหมือนเขาต้องลงมือกำราบเด็กน้อยอย่างจริงจังเสียแล้ว ปล่อยไว้เช่นนี้มีหวังขายมิออกเป็นแน่
“ว่าแต่บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่” เพราะมัวแต่ทักทายคนน้อง แม่ทัพหนุ่มเลยลืมถามเรื่องที่นางกระโดดลงมา
“ชิ! มิรอถามพรุ่งนี้ล่ะเจ้าคะ” กระแทกเสียงใส่ ทำให้แม่ทัพหนุ่มอดมิได้ดีดนิ้วลงที่หน้าผากมนทันที “โอ๊ย! เจ็บนะเจ้าคะ ดีดมาได้” บ่นแล้วก็มุ่ยปากใส่
“เจ้าเปลี่ยนไปมากนะจางจื่อ” ไป่เหอหลุดพูดในสิ่งที่คิด คนฟังถึงกับนิ่งไปเช่นกัน ดูเหมือนนางจะใช้นิสัยของตนเองมากไป จนลืมนึกไปว่าตนอยู่ในร่างของผู้อื่น
“เอาเถอะ ถึงจะเปลี่ยนไปยังไง เจ้าก็ยังเป็นน้องสาวพี่เหมือนเดิมนั่นแหละ” ว่าจบก็ใช้มือยีหัว ซึ่งจางจื่อมิได้ต่อต้าน นางเองก็จดจำสัมผัสจากอีกฝ่ายได้ดี
เพราะความทรงจำของจางจื่อตัวจริงอยู่ครบหมด เพียงแต่จิวซูคือผู้รับช่วงต่อในการใช้ชีวิตเท่านั้นเอง ยามนี้นางจึงมีความทรงจำทั้งสองผูกรวมกัน รับรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับตนและเจ้าของร่างในยามที่มีชีวิตอยู่ เพียงแต่ยังมิอาจทำใจให้สนิทกับคนรู้จักของคุณหนูหยวนได้ก็เท่านั้น
หลินไป่เหอเดินมาส่งน้องสาวต่างสายเลือดที่จวนของนาง ซึ่งอยู่ห่างออกมาแค่หนึ่งตรอก หรือพูดง่ายๆ ก็ตรอกขั้นกลางกำแพงของทั้งสองจวนอยู่นั่นเอง
“ต่อไปมิต้องแอบปีนเข้ามาแล้วนะ อยากมาเก็บสิ่งใดก็เดินเข้าประตูใหญ่เลย พี่มิหวงห้าม” เอ่ยในขณะที่เดินมาถึงหน้าจวนของคนน้อง
“ได้หรือเจ้าคะ” ถามกลับเสียงใส ใครจะอยากปีนเข้าบ้านผู้อื่นกัน ถ้าเข้าได้ง่ายๆ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
“เจ้าเป็นน้องสาวพี่นะ” ไป่เหอย้ำคำ จางจื่อยิ้มหน้าบาน เมื่อคนตัวโตอนุญาตเช่นนี้ อีกฝ่ายพอเห็นรอยยิ้มสดใสก็ยิ้มตาม ในใจกระตุกวูบอธิบายมิถูกว่ารู้สึกเช่นไร
“เจ้าตัวดี แอบออกไปเที่ยวเล่นอีกแล้ว” เสียงดุเปล่งมาจากผู้ที่นั่งอยู่ในห้องโถง ไป่เหอคำนับผู้อาวุโสที่เขานับถืออย่างนอบน้อม ราชครูหยวนก็ยิ้มให้เพราะจดจำลูกศิษย์ของตนได้ จางจื่อเดินเข้ามายืนอยู่ข้างบิดาพร้อมกับบีบนวด ท่าทางประจบเอาใจนี้น่าตียิ่งนัก
“ลูกก็แค่ออกไปเก็บพุทรา หาได้ออกไปเที่ยวเล่นไกลๆ ไม่ ตอนนี้ลูกกลับมาแล้วนะเจ้าคะ” ตอบกลับเสียงหวาน ทำเอาคนมาส่ง ไป่เหอจึงส่ายหัวให้กับท่าทางทะเล้นนี้
“เจ้าน่ะ อย่าได้ออกไปเที่ยวเล่นตามใจ หากเกิดเรื่องเหมือนสามปีก่อนอีก พ่อจะทำเช่นไร” เอ่ยเสียงเศร้า นัยน์ตานั้นก็หม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านพ่อ” จางจื่อคุกเข่าลงกอดขาบิดาพร้อมกับลูบปลอบ ไป่เหอเห็นแล้วก็นึกเอ็นดู
“ท่านลุงอย่าได้กังวล ข้ากลับมาแล้ว จะดูแลจางจื่อมิให้เที่ยวซน หากน้องอยากไปที่ใดข้าจะพาไปเอง” บอกอย่างที่คิด ได้ยินเช่นนั้นราชครูก็เบาใจ
“ฝากเจ้าเด็กดื้อนี้ด้วยนะท่านแม่ทัพ เย็นนี้อยู่ทานข้าวด้วยกันสิ จางเหว่ยก็จะกลับมาพักที่จวนเช่นกัน พวกเจ้ามิได้เจอกันนานคงมีเรื่องพูดคุยมากมาย”
“ขอรับ แต่คงต้องขอตัวกลับไปจัดการเรื่องที่จวนก่อน พึ่งย้ายเข้ามาอยู่ ยังมีเรื่องให้จัดการอีกมาก”
กล่าวจบแม่ทัพหนุ่มก็ลุกยืนคำนับอีกฝ่าย ก่อนที่สายตาจะเหไปยังใบหน้าหวาน ซึ่งจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน จางจื่อรีบเหหลบนัยน์ตาคมนั้นทันที จนกระทั่งเขาเดินออกไปจากจวนแล้วจึงได้หันกลับมา
“เหตุใดมิวิ่งตามพี่เขาแล้วล่ะ” เย้าบุตรสาว ซึ่งแต่ก่อนเอาแต่ร้องตามไป่เหอ ทั้งยังบอกว่าโตขึ้นจะเป็นพระชายาเขาอีก ครานั้นเขาได้ยินก็หัวเราะไม่ต่างจากบุตรชายเลย
“จางจื่อมิใช่เด็กแล้วนะเจ้าคะ” ตอบเสียงงอนเล็กน้อย ในหัวก็จำได้แหละว่าตนเคยทำอันใด แต่ตอนนี้โตแล้วทั้งคนที่อยู่ในร่างก็มิใช่จางจื่อจริงๆ จะให้ทำเช่นแต่ก่อนมันก็ดูขัดไม่ใช่ตัวตนของจิวซูเลย “ลูกขอตัวเข้าห้องก่อนนะเจ้าคะ เหนียวตัวจะแย่”
“ก็สมควรอยู่หรอก ดูสิมอมแมมเชียว บุรุษบ้านไหนจะตาบอดมาแต่งเจ้ากันนะ” เสียงเย้าของบิดามิได้จริงจังนัก
“มิมีผู้ใดแต่งก็ดีสิเจ้าคะ จะได้อยู่กับท่านพ่อจนตายไปเลย” ตอบกลับเสียงใส แล้วย่อตัวลงอย่างอ่อนน้อม
ยามโหย่ว [17:00-18:59] จางเหว่ยกลับมาแล้ว พร้อมกับฮ่องเต้ที่เสด็จมาด้วย เพราะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ที่มิได้ร่ำสุรากับสหายนานแล้ว
ยามนี้ในสวนของจวนสกุลหยวนจึงครึกครื้นมาก มินานไป่เหอก็มา เขากลับไปโกนหนวดเคราออก เผยใบหน้าคมคายรูปงามมิต่างจากแต่ก่อน
“เจ้าตัวเล็กข้าไปไหน ไยมิออกมา” เสวียนอวี้เอ่ยถามถึงน้องสาวตัวน้อย เพราะล่าสุดที่เจอกันคือสามปีก่อน ยามนั้นนางพึ่งจะสิบสี่ปี และเป็นวันที่คนน้องสลบไสล
“กระหม่อมให้คนไปตามแล้วพ่ะย่ะค่ะ” จางเหว่ยเอ่ย
“เจ้าเด็กนี่ดื้อซนมากกว่าแต่ก่อนนัก ตอนสายยังแอบไปขโมยพุทราที่จวนอยู่เลย ซ้ำยังกระโดดลงมาจากต้น กระหม่อมนี่แทบมิเชื่อสายตา” ไป่เหอร่ายยาวถึงวีรกรรมของจางจื่อ ทำเอาฮ่องเต้ถึงกับตาโตมิเชื่อหู
“จริงหรือ?” ถามย้ำอีกครั้ง มีแค่จางเหว่ยเท่านั้นที่มิได้ตระหนก เพราะตลอดสามปีมานี้จางจื่อมิเหมือนเดิมเลย
“เงียบก่อนมานั่นแล้ว” จางเหว่ยเอ่ยบอกเบาๆ มือก็ยกจอกสุราขึ้นดื่ม สายตานั้นมองไปยังร่างของน้องสาวซึ่งกำลังเดินมา ท่าทางคล่องแคล่วเกินตัวเขาเห็นทีไรก็อดสงสัยมิได้ นางดูมิคุ้นตาเหมือนมิใช่จางจื่อคนเดิม