7. จับขโมย
สองปีผ่านไป [ยามปัจจุบัน]
จางจื่อน้อยเลยวัยปักปิ่นมาสองปีแล้ว ยามนี้นางอายุสิบเจ็ดย่างสิบแปด เรียกว่าเป็นสาวสะพรั่ง แต่ก็มิยอมออกเรือนไปกับผู้ใด แม้จะมีผู้คนมากมายส่งแม่สื่อมาสู่ขอ บิดาเองก็มิได้บังคับ ตัวพี่ชายก็ยิ่งตามใจ เรื่องนี้จะให้นางตัดสินใจเอง เพราะมิอยากให้น้องสาวแต่งออกไปอยู่ที่อื่นเช่นกัน เรียกได้ว่าเข้าทางจางจื่อเป็นอย่างมาก
“คุณหนู รู้หรือไม่ว่าจวนที่แอบเข้าทุกวันเป็นของผู้ใด” มู่ชิงเอ่ยถามผู้เป็นนาย ซึ่งกำลังยืนกัดพุทราอย่างเอร็ดอร่อย มิใส่ใจสาวใช้ข้างกายแม้แต่น้อย
“บ่าวพูดด้วยยังมิสนใจอีกนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวเข้าไปอีกมีหวังถูกบั่นคอเป็นแน่” อีกฝ่ายก็ขู่เพราะเกรงผู้เป็นนายจะแอบเข้าไปอีก แต่หารู้ไม่ว่าแม้แต่สวนฮ่องเต้จางจื่อยังมิกลัวเลย นับประสาอะไรกับขุนนางที่ได้รับบำเหน็จ
“ถ้าเจ้ากลัวก็มิต้องไป” เอ่ยพร้อมกับทำหน้าทะเล้นใส่ ก่อนจะปีนขึ้นบันได ไต่ไปยังต้นพุทราที่เดิม ซึ่งนางมาเก็บประจำทุกปีตั้งแต่มันโตขึ้นมาพ้นกำแพง จางจื่อก็แอบย่องเข้ามาประจำ เพราะรู้ว่ามิมีใครอยู่
“หึหึ ทางสะดวก” ว่าแล้วนางก็ยื่นขาเหยียบลงยังกิ่งเดิม ก่อนจะปีนป่ายอย่างคล่องแคล่วไปยังลำต้นของมัน ยังไม่ทันได้ตั้งท่าดีๆ ก็หันไปเจอเข้ากับใครบางคนนั่งอยู่บนกิ่งอีกด้าน ทำเอาจางจื่อถึงกับไปไม่เป็น แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ เพราะอีกฝ่ายมีหนวดเคราเขียวครึ้มดูอย่างกับโจร
“นี่! เจ้าก็มาเก็บพุทราเหมือนกันหรือ เอาถุงมาหรือเปล่า ข้ามีนะ เอามาหลายใบเชียว เห็นว่ามีคนมาอยู่แล้ว อีกหน่อยเขาอาจจะตัดทิ้งก็ได้” จางจื่อพูดจาเรื่อยเปื่อย พร้อมกับยื่นถุงย่ามส่งให้อีกฝ่าย
ไป่เหอนึกขันในใจกับท่าทางกุลีกุจอไม่สนโลกของคนน้อง ทั้งยังตั้งหน้าตั้งตาขโมยเก็บทุกผลที่อยู่ใกล้มือใส่ยาม ช่างไม่เหมือนจางจื่อที่น่ารักเรียบร้อยคนนั้นเสียเลย
“เอ้า! ไยเจ้ามิเก็บล่ะ ประเดี๋ยวเจ้าของเขาก็มากันพอดี” ยังมิวายเอ่ยตำหนิอีกฝ่าย ซึ่งเขาก็เอาแต่มองนาง จนจางจื่อเริ่มตะขิดตะขวงใจ หันมาพิจารณาเขาอีกรอบ
“นี่เจ้าไม่ได้มาเก็บพุทราหรือ” ครานี้ถามเขาเสียงเบา
“เปล่า ข้ามาจับคนขโมยพุทราที่บ้านข้า”
เงียบไม่มีเสียงใดเล็ดล็อดออกมา จางจื่อยิ้มแห้งมองหาทางหนีทีไล่ แต่คนตัวโตนั้นขยับเข้ามาประชิดตัว จนนั่งอยู่กิ่งเดียวกันแล้ว พร้อมกับเสียงทุ้มดังขึ้น
“อย่าดื้อ ลงไปกับพี่ดีๆ กิ่งนี้คงรับน้ำหนักได้อีกมินาน”
คำพูดนี้ทำให้จางจื่ออดสงสัยมิได้ แต่พอสิ้นสุดคำกิ่งไม้ก็หักอย่างที่คิด ความสูงเท่าหอคอยชั้นครึ่งตกมาก็ต้องเจ็บมากแน่ แต่เปล่าเลย เพราะแขนแกร่งรั้งเอวเล็กไว้ได้ทัน อีกมือก็เกาะอยู่ที่กิ่งบนหัว เลยห้อยต่องแต่ง ทั้งคู่
“ไต่ตัวพี่ขึ้นไป หากเจ้ามิกล้ากระโดด” ไป่เหอเอ่ยบอกผู้ที่ตนกอดเอาไว้ ตอนนี้แขนเขาเริ่มจะหมดแรงแล้ว เพราะยังมีอาการบาดเจ็บอยู่และดูเหมือนแผลจะเปิด
“ข้าจะกระโดดลงไป ปล่อยข้าสิ” บอกเขาเสียงเบา เพราะใบหน้าอยู่ใกล้กันแค่คืบ
“มันสูงมิกลัวหรือ” คนพี่ก็ห่วงจนเกรงน้องจะเป็นอันตราย เพราะสูงจากพื้นมากอยู่เหมือนกัน
“ไม่ ท่านเองก็จะทนมิไหวแล้ว ปล่อยข้า” แห้วใส่พร้อมกับส่งตาดุ ทำให้ไป่เหอต้องค่อยๆ ปล่อยนาง ซึ่งจางจื่อก็ทิ้งตัวลงไปที่พื้นหญ้าโดยมิได้รับบาดเจ็บอันใด หากจะเรียกง่ายๆ ดูเหมือนนางมีวิชาตัวเบาพยุงไว้ด้วยซ้ำ เพราะลงได้นิ่มนวลมาก แม้จะถูกปล่อยลงจากที่สูงก็เถอะ
ไป่เหอไต่ลงมาอย่างเชื่องช้า เพราะแผลปริจนเลือดไหลซึมออกมา จางจื่อยืนมองอยู่ครู่หนึ่ง เพราะมัวแต่คิดว่าจะช่วยเขาดีหรือเปล่า สุดท้ายก็เดินเข้ามาหา
“นั่งลง ข้าจะทายาให้” บอกโดยไม่มองหน้าสักนิด
“พูดดีๆ เจ้าเด็กกว่าพี่สิบกว่าปีเลยนะ” ตำหนิไม่จริงจัง พอจะมองออกแล้วว่าจางจื่อจำเขามิได้
“เช่นนั้นข้าเรียกท่านอาแล้วกัน เพราะดูเหมือนท่านจะอายุน้อยกว่าพ่อข้านิดหน่อย”
เอาเข้าไปเจ้าเด็กนี่ ไม่เจอแค่แปดปีเลื่อนขั้นให้เขาเป็นอาเสียแล้ว มันน่าจับมาตีก้นเสียให้เข็ด นึกถึงตรงนี้แล้วแม่ทัพหนุ่มก็ตำหนิตนเองในใจ เพราะคนตรงหน้ามิใช่เด็กหกเจ็ดขวบเช่นแต่ก่อน นางโตแล้ว เป็นสาวงามเสียด้วย
“จะทำอะไร” ถามเมื่อเห็นนางล้วงเอาขวดยาออกมา
“ทายา” ตอบสั้นๆ ก่อนจะรั้งเอาเสื้ออีกฝ่ายลงดื้อๆ
“ดะ..เดี๋ยวจางจื่อ เจ้าเป็นสตรีนะ โตจนป่านนี้จะมาแก้ผ้าบุรุษได้เยี่ยงไร” ร้องท้วงเสียงหลง
คิ้วสวยผูกกันเป็นปมเมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อของนาง
“ท่านรู้จักข้าหรือ แล้วข้ารู้จักท่านหรือไม่ ท่านเป็นใคร” ยิงคำถามใส่ในคราเดียว ทำเอาพี่ชายผู้อ่อนโยนถึงกับส่ายหัว มิคิดว่าคนน้องจะเปลี่ยนไปมากเพียงนี้
“น้อยใจนะที่เจ้าจำพี่มิได้ ปิ่นที่ซื้อให้เจ้าก็ยังปักมันอยู่บนหัวเลย” น้ำเสียงนั้นฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นอย่างที่เอ่ย แต่เปล่าเลยเขาแค่อยากแกล้งคนน้องเท่านั้น
“หา!..ท่านคือพี่ไป่เหอหรือ” เอ่ยเสียงตื่น มิคิดว่าบุรุษในความทรงจำผู้อ่อนโยนจะดูเหมือนโจรไปได้ จางจื่อมองอีกฝ่ายอย่างสำรวจ “ท่านคือพี่ไป่เหอจริงหรือ?”
“นี่เจ้าจำพี่มิได้สักนิดเลยรึไง” อีกฝ่ายก็ถามย้ำ เริ่มน้อยใจคนน้องขึ้นมาจริงๆ มิคิดว่านางจะลืมเขาไปได้
“ไยเขาต้องทำหน้าแบบนี้ อย่าบอกนะว่าน้อยใจ ก็ข้ามิใช่จางจื่อนี่ ถึงจะมีความทรงจำของนาง แต่ข้าก็มิใช่นาง จะให้ดีใจกระโดดโลดเต้นกอดเหมือนตอนเด็กมันก็มิได้นะ” นี่คือสิ่งที่คนในร่างของจางจื่อคิด
ตายแล้วเกิดใหม่ในร่างของผู้อื่น เป็นสิ่งที่จิวซูประสบอยู่ยามนี้ นางคือกุ้ยเฟยของเสวียนอวี้ ซึ่งเสียไปก่อนช่วงเวลาจางจื่อตกน้ำ ครานั้นวิญญาณยังร่อนเร่ลอยไปทุกหนแห่งหาที่พำนับมิได้ ทว่าเหตุผลกลใดมิรู้ จึงได้ถูกดูดให้มาอยู่ในร่างของบุตรสาวท่านราชครู
จนถึงตอนนี้ก็ใช้ชีวิตเป็นจางจื่อมาสามปีแล้ว นิสัยนางจึงเปลี่ยนไปจากเดิมพอสมควร และที่สำคัญคือมิได้กลัวคนเช่นแต่ก่อน เรียกว่าใครดี ดีตอบ ใครร้าย ร้ายกลับเป็นร้อยเท่า แต่จางจื่อก็ยังไม่เคยร้ายใส่ใครสักคน เพราะมีแต่คนที่รักและเอ็นดูนาง