6. 11 ปีก่อน /4
จางจื่อก้มลงหยิบก้อนหินข้างตัวขว้างใส่อีกฝ่ายทันที ทำให้ชายผู้นี้โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก จึงใช้ดาบในมือแทงเข้าที่ท้องนาง ยังดีที่จางจื่อโค้งตัวหลบได้ แต่ก็ใช่ว่ามันจะพ้นคมที่ทิ่มเข้ามายังหน้าท้อง ดีที่มันไม่ลึกนางยังพอพาตัวขยับหนีมาจนสุดทางได้
ทว่ามันจะมีประโยชน์อันใด ร่างเล็กถอยไปจนยืนหมิ่นอยู่ริมเชิงผา มันสูงไม่มากก็จริง แต่คนที่กลัวน้ำต่อให้เป็นแค่บ่อน้ำแร่นางก็ยังมิกล้าเข้าใกล้ ทว่าหากต้องให้คนเหล่านี้ย่ำยี นางก็ขอตายไปพร้อมกับความกลัวที่มีอยู่ในใจเสียดีกว่า จางจื่อหลับตาลงทิ้งร่างให้ตกไปเบื้องล่าง มือเล็กยังคงกุมบาดแผลของตนไว้
อาภรณ์สีขาวเปื้อนโลหิตกระทบกับพื้นน้ำ โดยที่มันมิโผล่ขึ้นมาอีกเลย เสียงหัวเราะชอบใจดังขึ้น พวกมันต่างก็แสยะยิ้มเมื่องานสำเร็จ ถึงจะเสียดายที่มิได้ลิ้มลองรสชาติของคุณหนูตระกูลสูงก็เถอะ แต่ค่าจ้างครานี้ก็ทำให้พวกเขาซื้อสตรีในหอนางโลมมาบำเรอได้อีกหลายวันแล้ว
เมื่อกลุ่มคนเหล่านี้แยกย้ายกันไปหมด ก็เหลือเพียงความเงียบเข้าปกคลุม จนกระทั่งคนเจ็บซึ่งสลบไปฟื้นขึ้นมา จึงรีบกระเสือกกระสนพาร่างโชกเลือดของตนไปขอความช่วยเหลือยังศาลเจ้า ต่อมาก็มีคนไปตามทางการให้มาตรวจสอบ จึงรู้ว่าคนเหล่านี้มาจากสกุลหยวน
จางเหว่ยทราบข่าวในเวลาต่อมา เขาออกตามหาน้องสาวในทันที คราแรกคิดว่านางคงถูกจับตัวไป ด้วยความร้อนใจจึงมิคิดตรวจสอบแถวนั้น
ได้แต่ออกตามหายังเมืองใกล้เคียง และร่องรอยของกลุ่มคน ซึ่งมันแยกไปกันคนละทิศละทางจนเขาเดามิถูกว่าต้องเริ่มที่ใด จึงได้กลับมายังจุดเกิดเหตุเสาะหาทีละแห่ง จนพบคราบเลือดริมผา ใจแกร่งวูบไหวกระตุกถี่จนต้องยกมือมาทับไว้
“อย่าพึ่งคิดไปไกล ข้าจะให้ทหารลงไปหา” สหายซึ่งเป็นองครักษ์เช่นกันเอ่ยขึ้น พร้อมกับยกมือตบบ่าเบาๆ พวกเขารีบตามหาตัวจางจื่อตลอดสายน้ำ และเส้นทางที่คิดว่าคนร้ายจะพาตัวนางไป
ด้านเสวียนอวี้พึ่งขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่มินานเขาเองก็เสียใจมิน้อย รีบสั่งให้ทหารตามหาตลอดแม่น้ำจนถึงเมืองถัดไป ติดประกาศหาคนหายใครพบมีรางวัลให้อย่างงาม ทำให้ผู้คนได้เห็นถึงความสำคัญของคนสกุลหยวน ที่ฝ่าบาททรงห่วงใยและคอยปกป้องเสมอ
ข้างริมแม่น้ำกลางป่า จางจื่อกำลังก่อไฟย่างปลาเพื่อประทังชีวิต หลังจากที่โซเซขึ้นมาจากน้ำมันก็ดึกแล้ว นางไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ซ้ำยังมีอาการบาดเจ็บอีก จึงต้องรีบก่อไฟและหาสมุนไพรมารักษาบาดแผลบนหน้าท้องด้วย
“เจ้าไปทำอันใดมา ถึงได้มีแผลบนตัวเช่นนี้” นางเอ่ยกับตนเบาๆ “มิไหวแล้ว ร่างกายนี้มิเอื้ออำนวยเสียเลย” บ่นกับตนเองอีกครั้ง ก่อนจะหยิบเอาฝืนใส่ไฟอีกหอบใหญ่
เพราะดูท่าตนเองคงไข้ขึ้นเป็นแน่ ถึงได้ครั่นเนื้อครั่นตัวนัก นางเอนตัวลงนอนอย่างไร้เรี่ยวแรงจนทุกอย่างมืดดับไป
แสงไฟที่ส่องสว่างจ้ากลางป่า เรียกให้กลุ่มคนตรงเข้ามาทันที จึงได้พบร่างไร้สติของผู้ที่พวกตนตามหา
“เป็นคุณหนูหยวน รีบไปเอารถม้ามา”
ค่ำคืนดึกสงัดสามวันถัดมา ร่างสูงของฮ่องเต้หนุ่มนั่งอยู่ข้างเตียงของเจ้าตัวน้อยที่เคยวิ่งตามเขา นัยน์ตาคมนั้นหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะเป็นห่วงผู้ที่ยังมิได้สติ มองดูแล้วจางจื่อก็มิต่างจากจิวซู กุ้ยเฟยที่เขาแต่งตั้งเมื่อเดือนก่อน นางคือสตรีที่เขาพึงใจที่สุดในบรรดาสนม
คราแรกจิวซูมิยอมรับตำแหน่งด้วยซ้ำ นางเคยใช้ชีวิตอิสระต่างเมืองมานับสิบปี จึงมิชอบที่จะต้องมาอยู่ในกฎเกณฑ์ของวังหลวง ทว่าเป็นบุตร ไหนเลยจะขัดคำสั่งของบิดามารดาได้ นางจำต้องก้มหน้ารับชะตากรรมมิต่างจากเขา ที่ต้องแต่งสนมเข้ามาให้ครบเพื่อฐานอำนาจ
แต่ใครจะรู้ว่านั่นจะเป็นการพรากชีวิตพวกนาง เพราะไม่นานทุกคนก็ล้มป่วยและสิ้นใจ จิวซูเองก็มิต่างกัน นางหมดสติในคืนส่งตัวยังมิทันได้เชยชมด้วยซ้ำ จากนั้นก็นอนราวกับคนหลับ กระทั่งสามวันก่อนนางก็สิ้นใจ
นี่จึงเป็นสิ่งที่เขากลัวว่ามันจะเกิดขึ้นกับจางจื่อ เด็กน้อยที่เขาผูกพันธ์มาเป็นสิบปีแล้ว ความกังวลมีมากจนมิอาจทนอยู่ในวังได้ ต้องรีบมาดูให้เห็นด้วยตา
“เจ้าสืบรู้หรือยังใครลงมือกับนาง” เสวียนอวี้หันมาถามจางเหว่ย ซึ่งยืนอยู่มิไกล
“ยามที่พวกมันลงมือมิมีผู้ใดเดินผ่านเลยพ่ะย่ะค่ะ บ่าวที่รอดก็บอกเพียงว่าพวกมันมากันประมาณสิบคน มิเอ่ยอันใดสักคำ ลงมืออย่างโหดเหี้ยมทันที กระหม่อมสั่งคนตามรอย พวกมันก็แยกย้ายกันไปตามเส้นทางหลัก มิอาจจับต้นชนปลายได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
“พวกมันวางแผนมาอย่างดี อาจจะรอเวลาลงมือมานานแล้ว ใครกันที่เคียดแค้นจางจื่อเพียงนี้”
“จางจื่อมิเคยยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด นางก็อยู่แต่ในจวนและไปศาลเจ้า เหตุใดจึงมีศัตรูหมายเอาชีวิตได้” จางเหว่ยเอ่ยในสิ่งที่ตนสงสัย ตั้งแต่น้องสาวตนหกขวบก็เจอแต่เรื่องเช่นนี้ ทั้งที่เป็นคนเรียบร้อยว่านอนสอนง่ายแท้ๆ
“รีบสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง ข้าเองคงมาเยี่ยมนางอีกมิได้ หากเหล่าขุนนางรู้เข้าจางจื่อจะถูกเพ่งเล็งอีก อาจจะเป็นเพราะข้าก็ได้ นางถึงได้ตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้” เสวียนอวี้นึกถึงเรื่องที่เกิดเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน ครั้งแรกที่จางจื่อตกน้ำ ต่อมาก็ถูกจับไปขังในบ่อ มองดูแล้วล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการที่นางเข้าวังมาหาเขาทั้งนั้น
ห้าวันก่อนหากเขาไม่มีคำสั่งให้นางเข้าเฝ้า เรื่องเช่นนี้อาจจะไม่เกิดก็ได้ ก็แค่พี่ชายคิดถึงน้องสาว ออกมาพบก็มิใช่เรื่องง่ายจำต้องเรียกนางไปหาแทนก็เท่านั้นเอง หากคาดเดามิผิดคงเป็นกลุ่มคนที่กลัวจะเสียผลประโยชน์เพราะคิดว่าเขาจะรับนางเป็นสนมกระมังสั่งให้ลงมือ
“ดูแลนางให้ดี” เอ่ยบอกกับสหาย แล้วก็หันมาห่มผ้าให้ มือเรียวยกขึ้นลูบหัวเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากจวนไป โดยมีจางเหว่ยออกมาส่งขึ้นรถม้า
“ศึกทางใต้มินานคงจบ ข้าจะส่งไป่เหอไปช่วยแม่ทัพ กวงปราบชนเผ่าอูไกวต่อเจ้าเห็นเป็นเช่นไร”
“ไป่เหอเป็นคนเก่ง ไม่กี่ปีก็ไต่เต้าขึ้นเป็นแม่ทัพโดยที่ฝ่าบาทมิได้ช่วยเหลือด้วยซ้ำ เรื่องรบคงมิต้องกังวลหรอกพ่ะย่ะค่ะ ส่งไปที่ใดคนกระหายเลือดเช่นนั้นก็มิปริปากเป็นแน่ อีกมินานก็ต้องนำชัยชนะกลับมาอีกจนได้”
“หึ! เอาไว้ไป่เหอกลับมา ข้าจะบอกว่าเจ้าตั้งฉายาให้ว่าอย่างไร” เอ่ยจบก็เดินขึ้นรถม้า จางเหว่ยติดตามไปคุ้มครองจนกระทั่งถึงประตูวังก็กลับมา
หลังจากนั้นจางจื่อก็มิถูกเรียกให้เข้าเฝ้าอีก ตัวนางเองก็มิได้อยากไป
จนกระทั่งถึงวันปักปิ่นอายุสิบห้า ฮ่องเต้ก็ส่งของขวัญมาให้ ผ่านมือของจางเหว่ย เป็นปิ่นปักผมรูปหงส์ทอง ประดับด้วยทับทิมสีแดงงดงามเป็นอย่างมาก
และยังมีของที่ส่งมาจากชายแดนอีกหนึ่งกล่อง จู่โม่คนสนิทของแม่ทัพหลินเป็นผู้ถือมาให้ จางจื่อมองดูปิ่นหยกสีเขียวธรรมดาก็พาให้นึกขัน เพราะผู้นำส่งบอกว่าแม่ทัพภาคเป็นผู้เลือกเองกับมือ ใบหน้าหวานเผยยิ้มเมื่อได้รับของจากคนทางไกล มิคิดว่าเขาจะยังนึกถึงตนได้
“ฝากใต้เท้าขอบคุณท่านแม่ทัพแทนข้าด้วย อ่อ! ข้าฝากสิ่งนี้ไปด้วยนะ เป็นยันต์คุ้มภัย ข้าพึ่งขอมาจากพระอาจารย์ที่ศาลเจ้า” คลี่ออกให้ดูแล้วก็พับใส่ถุงหอมส่งให้
“ขอรับคุณหนู” รับคำเสร็จเขาก็ออกเดินทางกลับชายแดนทันที หลังจากนั้นจางจื่อก็ได้ยินแค่ข่าวการสู้รบ และการเลื่อนตำแหน่งของเขา หลังจากชนะศึกตอนใต้ได้ ไป่เหอก็ยังต้องไปช่วยทางทิศตะวันออกชิงเอาแผ่นดินจากชนเผ่าอูไกวต่อ มิได้กลับมาเมืองหลวงอย่างที่ควรจะเป็น นั่นคือข่าวคราวของเขาที่จางจื่อรับรู้