บท
ตั้งค่า

5. 11 ปีก่อน/3

“จางจื่อบอกแล้วว่าจะเป็นพระชายาพี่รัชทายาท เหตุใดมิรอจางจื่อเพคะ” เสียงสั่นเครือดังขึ้นมา ทำเอาพี่ชายทั้งสามถึงกับหน้าเหวอ

มิคิดว่าคำพูดของนางเมื่อสองปีก่อนจะยังคงอยู่ในหัว จางเหว่ยยิ้มแหยมองผู้เป็นนาย มิคิดว่าน้องสาวจะเอ่ยถ้อยคำน่าตีเช่นนี้ออกมาได้ ก่อนจะทำทีตำหนินางเสียงจริงจังเพื่อให้น้องสาวเข้าใจ

“ผิดที่เจ้ามิยอมโต จะให้รัชทายาทรอได้เช่นไร หากมิทำตามรับสั่งฮ่องเต้รัชทายาทต้องถูกลงโทษนะ” พี่ชายแสร้งขู่น้องสาว เพราะรู้ว่านางห่วงรัชทายาทมาก

“จริงหรือเพคะ ถ้ามิแต่งงานฝ่าบาทก็จะลงโทษ เช่นนี้รัชทายาทก็ถูกบังคับใช่หรือไม่เพคะ น่าสงสารจัง” เอ่ยอย่างพาซื่อ เสวียนอวี้จึงยกมือขึ้นมาลูบหัวอย่างเอ็นดู ซึ่งทั้งสามก็มีสายตามิต่างกัน

“อืม พี่เองก็มิอยากแต่ง แต่ทำเพื่อบ้านเมือง เอาไว้เจ้าโตขึ้นก็เข้าใจเอง บางทีคนเราก็เลือกในสิ่งที่ตนต้องการมิได้ทุกอย่างหรอก” ถ้อยคำนั้นเศร้าอย่างเห็นได้ชัด แต่เด็กน้อยวัยแปดขวบไหนเลยจะเข้าใจ จางเหว่ยเลยหาทางออกให้กับรัชทายาท จะได้มิต้องถูกเจ้าเด็กน้อยงอน

“นี่!..จางจื่อ ไป่เหอยังโสดนะ เอาไว้เจ้าไปบอกท่านพ่อให้หมั้นไป่เหอไว้สิ รอถึงยามปักปิ่นเจ้าก็แต่งได้แล้ว” จางเหว่ยแนะน้องสาว ก่อนที่เสียงร้องจะดังขึ้น “โอ๊ย!..เจ้าเตะข้าด้วยเหตุใดกัน” ร้องถามสหายทันที

“พูดไม่คิด น้องก็ตัวแค่นี้ ประเดี๋ยวก็คิดจริงจัง” ตำหนิจางเหว่ยเสร็จก็หันมาหาคนน้องที่นั่งตาแป๋วอยู่

“จริงด้วย พี่ไป่เหอมิใช่รัชทายาท ฝ่าบาทมิลงโทษ เช่นนั้นพี่ต้องอยู่รอจางจื่อโตนะ ข้าจะบอกท่านพ่อหมั้นพี่ไว้ เช่นนี้พี่ไป่เหอก็ไม่ต้องไปรบแล้ว อยู่เล่นกับจางจื่อได้” สิ้นคำเด็กน้อยก็ตั้งท่าจะลุกออกไปบอกบิดาอย่างที่เอ่ย ทำเอาจางเหว่ยถึงกับหัวเราะจนตัวงอ มิต่างจากเสวียนอวี้

ยังดีที่ไป่เหอคว้าเจ้าตัวน้อยไว้ได้ทัน ยามนี้นางเลยเซถลาลงบนตักเขา ใบหน้าจิ้มลิ้มเงยมองอีกฝ่ายพร้อมกับย่นคิ้วน้อยๆ เข้าหากัน ทำเอานายกองหนุ่มอดเอ็นดูมิได้

“ฮ่าฮ่า ข้าชอบใจนัก ก็ดีนะจางจื่อไปบอกท่านพ่อเลย” เสวียนอวี้ยังมิเลิกแกล้งสหาย เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของเจ้าตัวเล็ก ซึ่งยามนี้หันซ้ายขวามองพี่ทั้งสามอย่างสงสัย ก่อนจะถูกจับให้หันหน้ามายังผู้ที่ตนนั่งตักอยู่

“เอาไว้ให้เจ้าโตเลยวัยปักปิ่นไปแล้ว ค่อยมานั่งคิดเรื่องนี้เข้าใจหรือไม่ จางจื่อยังต้องเจอผู้คนอีกมากมาย มิได้มีแค่รัชทายาทและพี่ อีกอย่างเราก็อายุมากกว่าเจ้านัก เป็นพี่ชายน่ะดีที่สุดแล้วเข้าใจหรือไม่น้องสาว” ไป่เหอยังคงอ่อนโยนกับจางจื่อเหมือนเช่นวันแรกที่พบกัน

“อายุน้อยกว่าแล้วเป็นพระชายามิได้หรือ จางจื่อเห็นพี่สาวคนสวยบอกว่าอยากเป็นพระชายา จางจื่ออยากเป็นบ้าง แต่พี่รัชทายาทจะแต่งงานจางจื่อก็เป็นไม่ได้แล้ว พี่ไป่เหอก็ไม่อยากให้จางจื่อเป็นพระชายาอีก ฮึก!”

เสียงสะอื้นดังขึ้นบนอกแกร่งของนายกองหนุ่ม ทำเอาไป่เหอถึงกับหน้าเสีย สองสหายได้แต่ถอนหายใจ ดูท่าคงต้องตามน้ำไปก่อน รอให้เจ้าตัวน้อยโตกว่านี้คงเข้าใจเอง

“เอาล่ะ เอาล่ะ เช่นนั้นเอาไว้ให้เจ้าโตก่อน พี่จะเก็บพี่ไป่เหอไว้ให้เจ้าดีหรือไม่ จะมิให้ใครหน้าไหนมาแต่งเขาไปก่อนเจ้าเป็นแน่ จางจื่อจะได้เป็นพระชายาของพี่ไปเห่อ พี่ในฐานะรัชทายาทขอสัญญา” เสวียนอวี้เอ่ยกับคนน้องน้ำเสียงจริงจัง จนเจ้าตัวน้อยของพวกเขายิ้มร่า มุดหน้าเข้าหาอกแกร่งของนายกองหนุ่ม

“ช่างหาเรื่องให้กระหม่อมดีเสียจริงนะพ่ะย่ะค่ะ”

“เอาน่า ประเดี๋ยวโตมาก็ลืม ขี้คร้านจะไม่รู้จักพวกเราด้วยซ้ำ” เสวียนอวี้ยังคงเอ่ยกับสหายหน้าตาย จางจื่อนั่งฟังพวกเขาคุยกันจนกระทั่งหลับคาอกไป่เหอ

“ส่งมาให้ข้า เดี๋ยวจะพาไปนอน” จางเหว่ยเอ่ย พร้อมกับช้อนอุ้มเอาน้องสาวขึ้นมา ซึ่งยังคงหลับปุ๋ยเช่นเดิม

“เจ้าไปเถอะมิต้องส่งข้า มีองครักษ์และไป่เหออยู่”

เสวียนอวี้เอ่ยกับคนสนิทแล้วหันมาเขี่ยพวงแก้มคนน้อง มือเล็กจึงยกขึ้นมาปัดเพราะรำคาญบางสิ่งที่ก่อกวน “หึหึ” นั่นคือเสียงทิ้งท้ายของเสวียนอวี้ เขาเดินออกมาจากจวนสกุลหยวนพร้อมกับสหายและผู้ติดตาม และไม่ได้มาเหยียบที่นี่อีกเลยเพราะงานราชกิจรัดตัว

ฮ่องเต้ก็ทรงเจ็บป่วยบ่อยขึ้นจนต้องนอนซมมิได้ออกว่าราชการ ไม่เพียงแค่รัชทายาทที่มิได้มา ไป่เหอก็ออกรบที่ชายแดนเช่นกัน ทุกคนต่างมีหน้าที่ต้องทำ วันเวลาผ่านล่วงเลยไปจนทุกอย่างมิเหมือนเดิมแม้แต่น้อย

ผ่านไปอีกหกปี

จางจื่อน้อยที่ทุกคนเคยเรียกก็อายุสิบสี่แล้ว อีกแค่ปีเดียวก็จะถึงวัยปักปิ่นแม้ความงามจะยังมิเผยให้เห็นมากนัก แต่ก็เป็นที่หมายปองของหลายสกุล การเป็นดองกับราชครูหยวนนั้นถือว่ามีฐานอำนาจหนุนที่ดี เพราะเป็นผู้ใกล้ชิดฝ่าบาท จางเหว่ยก็เป็นองครักษ์คนสนิท เรียกได้ว่าหาผู้สนับสนุนและส่งเสริมเช่นนี้มิได้อีกแล้ว

“ท่านพ่อ ลูกขอไปไหว้พระที่ศาลเจ้านอกเมืองนะเจ้าคะ” เสียงหวานใสเอ่ยกับบิดา นางนั่งเรียบร้อยเช่นเคย

“ไปเถอะ อย่าลืมเอาผู้ติดตามไปด้วยล่ะ” เสียงทุ้มอ่อนโยนของบิดาเปล่งออกมาเช่นทุกวัน ร่างเล็กลุกขึ้นคำนับยกมือประสานกันย่อตัวลงอย่างอ่อนช้อย

รถม้าสกุลหยวนออกมานอกเมืองแล้วโดยมีผู้ติดตามสิบคนรวมสาวใช้ด้วย เพราะมิคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน จู่ๆ ถูกกลุ่มคนร้ายลอบโจมตีตอนกำลังเดินทางไปตามไหล่เขา ด้านล่างมีแม่น้ำไหลเคียงคู่ไปเป็นแนว

จางจื่อถูกคนชุดดำพาลงมาจากรถม้า นางมองร่างของผู้ติดตามนอนเกลื่อนอยู่บนพื้น มิรู้เป็นหรือตายกันแน่

“กระโดดลงไป” เสียงเหี้ยมดังขึ้น สั่งให้นางทำในสิ่งที่หวาดกลัว แค่เห็นสายน้ำเบื้องล่างจางจื่อก็ขวัญผวาแล้ว

“ไม่! ไม่!” ร้องเสียงหลงพร้อมกับยกมือขึ้นปิดหูหลับตาส่ายหน้าไปมา เป็นที่ขบขันของกลุ่มชายฉกรรจ์ที่รับงานมายิ่งนัก แต่พวกมันก็มิคิดจะปรานีสตรีตัวน้อยเลย

“หากเจ้ามิกระโดด เช่นนั้นก็เป็นเมียของพวกเราเสียเถอะแม่นาง” หนึ่งในคนชุดดำเผยใบหหน้าออกมาให้เห็น มันแสยะยิ้มใส่พร้อมกับยกมือขึ้นลูบหน้า มองร่างเล็กซึ่งกำลังสั่นเทาเพราะตื่นกลัว

“อย่าทำข้าเลย ข้ากลัวแล้ว” จางจื่อร้องขอ อ้อนวอนให้อีกฝ่ายเมตตา แต่คนเหล่านี้หาได้สงสารไม่ ได้ทั้งเงินและได้ลิ้มลองสตรีงาม มีหรือที่พวกเขาจะยอมพลาด

“อย่าเข้ามา มิเช่นนั้นข้าจะกระโดด”

“เราก็อยากให้เจ้ากระโดดอยู่แล้วแม่นาง แต่ก่อนตายไยมิหาความสุขกันก่อนเล่า ถึงยามนั้นเจ้าก็มิเสียชาติเกิดแล้ว ได้ผัวนับสิบเชียวนะ”ถ้อยคำของคนชั่วช่างน่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก

จางจื่อก้มลงหยิบก้อนหินข้างตัวขว้างใส่อีกฝ่ายทันที ทำให้ชายผู้นี้โกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก จึงใช้ดาบในมือแทงเข้าที่ท้องนาง ยังดีที่จางจื่อโค้งตัวหลบได้ แต่ก็ใช่ว่ามันจะพ้นคมที่ทิ่มเข้ามายังหน้าท้อง ดีที่มันไม่ลึกนางยังพอพาตัวขยับหนีมาจนสุดทางได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel