15. [ไม่] อ่อนโยนกับบางคน
ด้านจินจูยืนนิ่ง มือเล็กกำเข้าหากันจนเกิดเป็นรอยเล็บ นางหมายหมั้นที่จะเป็นฮูหยินของแม่ทัพผู้นี้ เพราะหลงรักเขามาตั้งแต่เด็ก “ไยท่านแม่ทัพจึงมิสนใจข้าเลย ข้าก็งามมิด้อยไปกว่านางเลยสักนิด” ตัดพ้อในใจ มองสองคนด้านหน้าด้วยสายตาขุ่นเคือง
“เก็บอาการของเจ้าเสีย ข้าได้ยินมาว่าสองคนนี้สนิทกันมาตั้งแต่นางยังเล็ก อีกทั้งพี่ชายนางก็เป็นสหายกับแม่ทัพ เจ้าอย่าร้อนใจจนทำเสียเรื่องเชียว” เกาฟางเตือนสติน้องสาว หากทำการบุ่มบ่ามอาจเกิดผลเสียได้
ทุกอย่างเขาพยายามเป็นผู้จัดการเอง แม้แต่เดินเข้าไปขัดจังหวะของทั้งคู่
“นี่คงเป็นน้องจางจื่อกระมัง ได้ยินชื่อเสียงเอ่ยถึงความงามมานานแล้ว มิคิดว่าจะได้พบเจ้าในวันนี้ด้วย” เขาเดินมายืนข้างจางจื่อโดยมิให้ทั้งคู่ได้ตั้งตัว ไป่เหอแสดงสีหน้ามิพอใจอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
คนถูกทักจึงลุกขึ้นคำนับตามมารยาท นางเงยมองใบหน้าพี่ชายต่างมารดาเมื่อชาติก่อน เขามิมีสิ่งใดเปลี่ยนไปเลยสักนิด “คำนับคุณชายเกาเจ้าค่ะ” เอ่ยตามมารยาทพร้อมกับย่อตัวอย่างนอบน้อม
“มิต้องมากพิธี นี่จินจูน้องสาวพี่เอง รู้จักกันไว้เสีย อีกหน่อยก็คงได้อยู่จวนใกล้กัน” เกาฟางยังคงเปล่งวาจาออกมามิหยุด แม้ว่าแม่ทัพหนุ่มจะยืนขนาบข้างจางจื่ออยู่ก็เถอะ เขามิเกรงกลัวอีกฝ่าย ถึงหน้าที่การงานจะสูงมิเท่า แต่ฝั่งเขาก็มีไทฮองคอยหนุนอยู่เช่นกัน
“คำนับพี่จางจื่อเจ้าค่ะ” เสียงหวานเอ่ยอย่างนอบน้อม ทำเอาผู้ที่อยู่ในร่างนี้อดเอ็นดูน้องสาวต่างมารดามิได้
“เจ้าก็มาเที่ยวที่นี่หรือ” ไม่รู้จะถามอันใด ก็เอ่ยไปเช่นนี้แหละ นางรู้สึกเกร็งที่ต้องเจอกับคนในครอบครัวเมื่อชาติก่อน ในสถานการณ์เช่นนี้ จะทำเป็นไม่สนใจก็คงมิได้ อย่างไรเสียพวกเขาก็มิเคยทำร้ายนาง ในขณะที่ยังคงอยู่ในร่างของจิวซูเมื่อชาติก่อน
“ใช่แล้ว ท่านลุงหลินบอกว่าท่านแม่ทัพเดินทางมาที่นี่ เลยให้เราตามมา เพราะอีกมินานจินจูกับท่านแม่ทัพก็จะหมั้นหมายกันแล้ว ต้องทำความรู้จักกันให้มาก” เกาฟางร่ายยาวถึงที่มา เหตุใดเขาและน้องสาวจึงปรากฏตัวที่นี่
จางจื่อยิ้มรับกับสิ่งที่ได้ฟัง ทว่าในใจกลับแห้งเหี่ยวต่างจากใบหน้ายามนี้เป็นอย่างมาก ผิดกับอีกคนที่ส่งยิ้มหวานให้แม่ทัพหนุ่มจนตาหยี
“ดีจริง อีกมินานก็คงได้ยินข่าวดีแล้วกระมัง” เอ่ยกับคนตรงหน้าแล้วก็หันมาหาคนข้างกาย เท้าเล็กขยับออกห่างเขาด้วยเมื่อรู้สึกว่ายืนใกล้กันเกินไปดูไม่เหมาะไม่ควร
“ข้ามิเคยบอกว่าจะแต่งกับน้องสาวเจ้า ผู้ใดรับปากก็ให้ผู้นั้นแต่ง อย่ามาพูดเรื่องนี้ให้ได้ยินอีก” เสียงเย็นเปล่งออกมาโดยมิใส่ใจสองพี่น้อง ซึ่งยามนี้หน้าถอดสีไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นเกาฟางก็มิละความพยายาม หาโอกาสพบแม่ทัพหลินได้นี่มันมิง่ายเลย อย่างน้อยวันนี้เขาก็ต้องเอ่ยกดดันอีกฝ่ายให้จงได้
“ท่านแม่ทัพ เรื่องคู่ครองอย่างไรก็ต้องให้พ่อแม่เป็นคนจัดการนะขอรับ ผู้ใหญ่ตกลงหารือกันไว้แล้ว เราเป็นลูกอย่างไรก็ต้องทำตาม” เกาฟางยกเอาบิดาของแม่ทัพหนุ่มมาอ้าง โดยมิรู้เลยว่าไป่เหอนั้นมิอยู่ในโอวาทบิดามาสิบกว่าปีแล้ว เขาเพียงแค่ยกยิ้มที่มุมปากเท่านั้น
“ฝ่าบาทเสด็จ” ยังมิทันได้เอ่ยสิ่งใดต่อ ผู้เป็นนายเหนือหัวก็มาถึง ทุกคนจึงเดินไปที่สวนทางเข้าเพื่อรับเสด็จ
“ถวายพระพรฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”
“ตามสบายเถอะ” น้ำเสียงทรงอำนาจ และท่าทางสง่างามของฮ่องเต้นั่นดูเหมาะกับคำเรียกโอรสสวรรค์ยิ่งนัก ในสายตาของจางจื่อ นางกำลังมองเขาอย่างชื่นชมและมันคงมิต่างจากผู้อื่นเป็นแน่ แต่พอได้ยินคำทักทายถึงสองพี่น้องก็รีบก้มหน้าลง “นี่ใต้เท้าเกาก็มาด้วยหรือ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท พอดีท่านลุงหลินอยากให้จินจูทำความคุ้นเคยกับท่านแม่ทัพก่อนจะหมั้นหมายกัน กระหม่อมเลยต้องมาเป็นเพื่อนน้องสาวพ่ะย่ะค่ะ”
รีบเอ่ยเพื่อหวังดักทางแม่ทัพ เรื่องนี้มีฮ่องเต้รู้เห็นก็คงมิยาก หากเขามิยอมทำตามก็ต้องถูกลงโทษตามกฎบ้าน นั่นคือโทษฐานต่อต้านบุพการี ไป่เหอจึงใช้หางตาขุ่นมัวมองเกาฟาง บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ต้องอดกลั้นเอาไว้
“งั้นหรือ” ถ้อยคำสั้นๆ ของเสวียนอวี้ดังขึ้น ริมฝีปากเขายกขึ้นเล็กน้อยส่งมายังสหายที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ ก่อนจะหันเหสายตาไปทางคนตัวเล็กที่ยืนวางมือทับกันตามมารยาทของสตรี แต่นิ้วโป้งทั้งสองกลับหมุนวนกันไปมา
“ข้ามาช้า ดูท่าคงมีคนหิวแล้วกระมัง” แสร้งเอ่ยให้คนน้องเงยหน้าขึ้น ทว่านางยังคงตกอยู่ในห้วงความคิด จนมิรู้ว่าฮ่องเต้นั้นเอ่ยถ้อยคำใด
“จางจื่อ! เหม่ออะไรฮึ” จางเหว่ยเดินมาตีไหล่น้องสาวเบาๆ ทว่าร่างเล็กนั้นกลับสะดุ้งโหยง
“พี่! ไยต้องตีข้าด้วย” แห้วใส่พร้อมกับมุ่ยปาก
“อ้าว นี่พี่ผิดหรือ ฝ่าบาทพูดด้วยไยเจ้ามิใส่ใจ มัวแต่นึกถึงสิ่งใดอยู่ฮึ” จางเหว่ยยังมิวายตำหนิคนน้อง
“เอาล่ะ เอาล่ะ พอเถอะ เจ้าตัวเล็กข้าคงโมโหหิวแล้วกระมัง เราไปนั่งกันเถอะ” เสวียนอวี้เอ่ยพร้อมกับเดินมาจูงแขนจางจื่อไปยังส่วนทานอาหาร ซึ่งเป็นโต๊ะต่ำมีพรมรองพื้นสำหรับนั่ง ทุกอย่างจัดเตรียมข้างทะเลสาบ มีคบไฟรอบบริเวณ ด้านนอกก็ตั้งเป็นแถวส่องสว่างเป็นแนวยาวเพื่อให้ง่ายต่อการอารักขาด้วย
“ท่านพี่ไยฝ่าบาทถึงได้ดูสนิทสนมกับคุณหนูสกุลหยวนนัก ถึงกับจับมือถือแขนกันเลยเชียว หรือคิดจะรับนางเป็นสนมอย่างที่ได้ยินมา” ความสงสัยมีมากจึงอดมิได้ ป้องปากกระซิบถามพี่ชายซึ่งนั่งอยู่ข้างกัน
“เมื่อครั้งที่จางจื่อได้หกขวบ ฝ่าบาทและแม่ทัพหลินเคยช่วยชีวิตนางจนรอดตาย ตั้งแต่นั้นมาสี่คนนี้ก็ตัวติดกันราวกับพี่น้องแท้ๆ พี่ถึงบอกเจ้าอย่างไรล่ะว่า นางมิใช่คู่ต่อสู้เจ้า อย่าได้กังวลไปเลย ทำดีกับนางมิแน่เจ้าอาจจะสมหวังเร็วขึ้น” เกาฟางร่ายยาวถึงที่มาของจางจื่อให้น้องสาวฟัง ซึ่งเป็นที่ถูกใจจินจูยิ่งนัก
จินจูยกยิ้มเมื่อเห็นช่องทางเข้าหาแม่ทัพหนุ่ม “จริงด้วย หากข้าสนิทกับนาง ก็เท่ากับได้อยู่ในกลุ่มนี้ไปด้วย น้ำหยดลงหินทุกวัน หินมันยังกร่อน นับประสาอันใดกับใจคนเล่า ข้างามเพียงนี้จะทำให้ท่านลุ่มหลงมิได้เชียวหรือ”จินจูนั่งวางแผนอยู่ในใจ มองท่าทางสนิทสนมของทั้งสี่อยู่ห่างๆ
เพราะที่นั่งนั้นมิได้มีให้ทั้งคู่ตั้งแต่แรก มันพึ่งถูกยกมาหลังจากที่ฮ่องเต้เสด็จ และมีกองถ่านย่างกวางขวางสายตาอยู่ แต่ก็ยังพอให้เห็นความเป็นไปของฝั่งนั้นได้