16. ออกอาการ
“ใต้เท้าเกาลำบากเจ้าหน่อยนะนั่งฝั่งนั้น ข้าจัดงานเลี้ยงเฉพาะสหาย มิคิดว่าจะมีผู้อื่นปะปนมาด้วย ต้อนรับมิดีแล้ว” เสียงจากไป่เหอดังมาราวกับตะโกน
ทว่า เขาก็ตั้งใจนั่นแหละ เพราะหมายจะเอาคืนที่กล้าเอ่ยเรื่องนั้นกับฮ่องเต้ ทั้งที่เขาย้ำแล้วว่ามิมีทางแต่งกับคุณหนูสกุลเกาเป็นแน่
“มิเป็นไรขอรับ เป็นข้าน้อยเองที่เสียมารยาท” เอ่ยพร้อมกับถือเอาจอกสุราเดินมาเพื่อจะชนดื่มกับแม่ทัพ
“คราหลังก็แจ้งเสียหน่อย อย่างไรเสียก็ควรจะรู้ว่าสถานที่ของผู้อื่นมิควรเข้า” เป็นเสียงของจางเหว่ยเอ่ยตำหนิ เพราะมิชอบใจอีกฝ่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“ข้าน้อยจะจำไว้ขอรับ” บอกอย่างอ่อนน้อม ทว่าในใจนั้นร้อนดั่งไฟเผา จำต้องแสร้งยิ้มแล้วเดินกลับมายังที่นั่งของตน มองอีกฝั่งดื่มกินกันอย่างมีความสุข “หึ! หัวเราะไปก่อนเถอะ อย่าให้ถึงทีข้าบ้างก็แล้วกัน” นึกในใจแล้วก็ยกจอกขึ้นดื่มรวดเดียว แก้มสากขึ้นเป็นสันนูน นัยน์ตาแข็งกร้าวจนน้องสาวต้องยกมือมาแตะเบาๆ
“ท่านพี่มีคนกำลังดูเราอยู่” เอ่ยเตือนพี่ชายแล้วก็ส่งสายตาให้เขามอง เกาฟางจึงมีท่าทีเย็นลงจนเป็นปกติ เพราะคนที่จับจ้องเขาล้วนแต่เป็นคนของไป่เหอ
ทั้งหมดนั่งอยู่คนละมุมกับเขา บางคนก็ทำหน้าที่ดูแลอาหารย่างกวางและไก่ที่ล่ามาได้ ยังมีองครักษ์ของฮ่องเต้ที่เดินไปมา ดูเหมือนจะเพ่งเล็งมาที่เขาทั้งคู่ราวกับจับผิด มิแปลกนักเพราะดันมามิถูกเวลากันเอง
ด้านสามสหายกำลังหารือกันเรื่องงานแต่งของไป่เหอ อยากรู้ว่าแม่ทัพหนุ่มจะทำเช่นไรต่อไป โดยมีจางจื่อนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเสวียนอวี้และไป่เหอเช่นเคย ทว่านางหันหลังให้พวกเขาเพราะกำลังดูกระรอกน้อยกินนม ในมือก็ถือน่องไก่ป่ากินไปด้วย
“อย่าให้มันกินมากเกินไป ประเดี๋ยวจะปวดท้องเอา” เสียงทุ้มของฮ่องเต้เอ่ยในขณะฟังสหายไปด้วย ใบหน้างามหันกลับมาหาเขาทันที ริมฝีปากนั้นมีเศษติดที่มุมด้วย เสวียนอวี้เห็นแล้วก็อดเอ็นดูมิได้ จึงยกนิ้วเกลี่ยออกเบาๆ
“กินช้าๆ มิมีผู้ใดแย่งเจ้าหรอก” ทั้งน้ำเสียง ทั้งการกระทำ จางจื่อสัมผัสได้ถึงความห่วงใยของเขา ลำคอระหงรีบกลืนเนื้อไก่ในปากทันที ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างช่วยมิได้ มันลามมาถึงหูจนรู้สึกร้อนวาบ
“มาพี่เช็ดให้” เป็นไป่เหอที่จับคนน้องหันมาทางตน ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าที่มีติดตัวซับปากมันเยิ้มอย่างเบามือ จางจื่อตัวแข็งทื่อไปไม่เป็นกับการกระทำของทั้งคู่
จางเหว่ยเองก็มึนงงมิน้อย เสวียนอวี้นั่งนิ่งมองสหายดูแลคนน้อง ในใจอยากรั้งจางจื่อมานั่งใกล้กว่านี้ แต่ถ้าทำเช่นนั้นมันคงแปลกประหลาดน่าดู แค่เขาใส่ใจนางมากเหล่าข้าราชบริพารก็พากันมองอย่างฉงนแล้ว
“ไป่เหอ เรื่องที่ข้าให้ไปสืบได้ความว่าอย่างไร” ดึงความสนใจของสหายด้วยเรื่องลอบสังหาร
“เรื่องมือสังหาร อย่างที่รายงานไปก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ มันกินยาพิษตายในคุก จึงมิอาจสืบหาตัวผู้บงการได้ แต่กระหม่อมให้คนสืบถึงการเดินทางของคนเหล่านี้แล้ว ส่วนมากมาจากทิศใต้ กระหม่อมเกรงว่าจะเป็นกบฏที่ยังหลงเหลืออยู่พ่ะย่ะค่ะ” ไป่เหอรายงานตามที่คนของตนสืบ
“เราออกมาอีกคราเช่นนี้ หากมันรู้ก็แสดงว่ามีไส้ศึกอยู่ในวัง หรือไม่มันก็อาจจะอยู่ที่นี่ก็ได้” กล่าวกับสหาย แต่สายตากลับจ้องไปที่สองพี่น้องซึ่งนั่งห่างออกไป
“แล้วเจ้าล่ะ ข้าบอกให้สืบหาผู้ที่ช่วยข้าคืนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” ครานี้วนกลับมาที่จางเหว่ย
“มิได้เรื่องเลยพ่ะย่ะค่ะ คืนนั้นก็มีแค่ฝ่าบาทที่พบนาง กระหม่อมมิรู้ต้องเริ่มจากที่ใด” ตอบตามจริง กว่าเขาจะหายดีออกมาทำงานได้ก็ผ่านไปห้าวัน สตรีที่ฮ่องเต้เอ่ยถึงก็ปิดบังใบหน้าทำตัวลึกลับอีก ใครจะเก่งจนสืบหาคนที่มิรู้อยู่ส่วนไหนของเมืองได้
“หึ! เจ้าสองคนนี่พักหลังเริ่มจะไม่ได้เรื่องเลยนะ” แสร้งตำหนิไปเช่นนั้นเอง เสวียนอวี้เข้าใจดีว่ามันมิใช่เรื่องง่ายจริงๆ กับการตามหาคนร้ายมืออาชีพพวกนี้ ไหนจะสตรีตัวน้อยซึ่งมีกลิ่นกายหอมผู้นั้น นางเองก็ไปไวมาไวแม้แต่เขาก็มิทันได้สังเกตุลักษณะท่าทาง ยามนี้จึงได้แต่หวังว่าจะได้พบในสักวันและตอบแทนนางสักครา
ยามซวี [19:00-20:59] เสียงพูดคุยหัวเราะยังดังมิขาด แต่จางจื่อเลี่ยงออกมาที่ห้องของตน เพื่อเอากระรอกน้อยมาเก็บเสียก่อน ดูท่ามันจะไม่ค่อยชอบเสียงดังเท่าใดนัก ทำให้จินจูได้โอกาสเดินตามมา
“พี่จางจื่อ ในกรงตะกร้านั้นคือสิ่งใดหรือเจ้าคะ” นางรีบส่งเสียง ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินเข้าเรือน คนถูกถามจึงหันมาหาสตรีร่างเล็กพอๆ กัน พร้อมกับส่งยิ้มให้
“กระรอกหน่ะ พึ่งได้มาวันนี้เอง” ตอบด้วยเสียงปกติ
“จริงหรือ ข้ามิเคยเห็นมันใกล้ๆ เลย ขอดูได้หรือไม่เจ้าคะ” มิเอ่ยเปล่า แต่มือนั้นเอื้อมมาหมายจะดึงเอาตะกร้าด้วย จางจื่อจึงรีบเบี่ยงตะกร้าหลบ
“มิได้ มันยังเล็กนัก” ตอบพร้อมกับส่งตะกร้าให้มู่ชิงเอาเข้าไปเก็บในห้อง ทำเอาผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้ายิ้มแหย ทว่าภายในใจนางนั้นกำลังคุกรุ่นแล้วในยามนี้
“ขอโทษด้วย มันยังเล็กมากจริงๆ” จางจื่อเอ่ยตามจริง ใช่ว่านางจะหวงของ แต่เกรงสัตว์เลี้ยงตัวน้อยจะตกใจ
“มิเป็นไรเจ้าค่ะ เอาไว้มันโตจินจูจะมาขอดูนะเจ้าคะ” อีกฝ่ายยังมิละความพยายาม จางจื่อจึงได้แต่ยิ้มเอ็นดูเท่านั้น นางพึ่งได้เห็นอดีตน้องสาวต่างมารดาผู้นี้ใกล้ๆ
“ได้สิ” รับคำไปเช่นนั้นเอง เพราะคิดว่าวันหน้าคงมิได้เจอกันอีกเป็นแน่ ตระกูลหยวนและเกามิถูกกันอยู่แล้ว จะมาพบกันใหม่ได้อีกเช่นไร
“พี่จางจื่อใจดีมาก ทำให้ข้านึกถึงพี่สาวเลย แต่น่าเสียดายที่นางตายไปแล้ว” น้ำเสียงนั้นฟังแล้วหดหู่ยิ่งนัก
“พี่สาวหรือ?” คิ้วสวยขมวดเป็นปม ดวงตานั้นก็จ้องมองอีกฝ่าย ซึ่งยืนเกาะแขนนางอยู่
“เจ้าค่ะ พี่สาว นามว่าจิวซู เราสนิทรักใคร่กันมาก แต่พอนางเข้าไปอยู่ในวังได้เพียงเดือนเดียวก็สิ้นใจ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก” เสียงสั่นเครือฟังดูรันทด ทว่าคนฟังกลับย่นคิ้วเข้าหากันไม่จบไม่สิ้น จางจื่อจึงพานางมานั่งหน้าเรือน
“เอ๋! นี่ข้าไปสนิทกับนางตอนไหนกัน นางสามขวบข้าก็ออกมาจากจวนแล้ว ถูกเรียกกลับมาก็อยู่ในวังเกือบปี ก็ยังมิเคยพบกันจนกระทั่งข้าตาย หึ! ดูท่าน้องสาวข้าในชาติก่อนคงมิธรรมดาสินะ” คิดในใจแต่ใบหน้านั้นดูเศร้าหม่น ราวกับคิดตามคำพูดของสตรีตรงหน้าเสียอย่างนั้น
“เจ้าคงจะรักพี่สาวและสนิทกันมากสินะ”
“เจ้าค่ะ พอข้าเห็นพี่จางจื่อก็คิดถึงนางขึ้นมาทันที ยามนั้นที่นางจากไปก็อายุเท่าพี่เลยนะเจ้าคะ” บอกทั้งน้ำตา เสียงนั้นสั่นเครือเป็นอย่างมาก
“หึ! รักข้ามากเพียงนี้เชียว” คิดจนเผลอยกยิ้มที่มุมปาก ก่อนที่มันจะเลือนหายไปเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้า
“เล่าให้พี่ฟังได้หรือไม่เรื่องเป็นเช่นใด ข้าเองก็เคยได้ยินมาว่าคุณหนูใหญ่สกุลเกาหมดสติในคืนเข้าหอกับฝ่าบาทจริงหรือไม่” แสร้งทำเป็นคนอยากรู้ไปเช่นนั้นเอง อันที่จริงอยากรู้จักคนตรงหน้ามากกว่า เหตุใดจึงเอาตัวเข้ามาตีสนิทเช่นนี้ ทั้งที่รู้ว่าสองตระกูลเป็นศัตรูกัน