4.แพ้ผู้ชายแก้ผ้า
ปรานต์สืบเท้ามาที่บันได เขายื่นมือให้หล่อนจับ เป็นวินาทีนั้นที่กลิ่นหอมอ่อนๆ จากครีมอาบน้ำ และไออุ่นจากเรือนกายส่งต่อมาถึงเด็กสาว
“หน้าแดงอีกแล้ว แพ้แดดหรือเปล่า หรือว่าแพ้...ผู้ชายแก้ผ้า” เขาเอ่ยจบก็ยกยิ้มตรงมุมปาก ยิ้มหล่อๆ ขับให้ใบหน้าเขาชวนมอง น่าหลงใหล
“เป็นเพราะคุณนั่นแหละ เดี๋ยวหนูไม่สบายขึ้นมา ต้องโดนดุแน่”
“อืม สรุปว่าฉันเป็นคนผิด ได้ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวชดใช้ให้แล้วกันว่าแต่เธอชื่ออะไรนะ”
หญิงสาวมองเข้าไปในดวงตาเขา มองลึกนานนับอึดใจราวกับค้นหาบางสิ่ง
“จำหนูไม่ได้จริงๆ เหรอ”หล่อนท้วง ก่อนรีบก้มหน้าต่ำด้วยไม่กล้าสู้สายตาคมๆ ที่พราวระยับของเขา
“อยากให้ฉันจำแบบไหนล่ะ เอาตอนที่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง หรือตอนที่ย่องมาแอบดูฉันอาบน้ำ!”
“คะ คุณปรานต์!” หล่อนร้องหวีดว้าย มือข้างหนึ่งเผลอส่งกำปั้นน้อยๆ ไปทุบตนแขนกำยำอย่างลืมตัว
“โอ๊ย โตเป็นสาวขนาดนี้ยังคิดแอบดูฉันอาบน้ำอีกเหรอ นิสัยเสียไม่เปลี่ยนนะเรา”
เด็กสาวขัดเขินจัด เตรียมลงไม้ลงมือกับเขาเต็มแรง แต่ชายหนุ่มทำเสียงเข้มปรามไว้
“ถ้าทำให้เนื้อฉันเขียว ฉันจะปรับด้วยการตีก้นด้วยก้านมะยมให้ลายพร้อยเลยรู้ไหม” คำขู่ของปรานต์หยุดหล่อนได้ทันที
“ถ้าใจร้ายแบบนั้น คุณก็กลับไปเถอะค่ะ ที่นี่ไม่ต้อนรับ” เด็กสาวว่าอย่างขัดเคืองใจ
“เอ๋ นี่ออกปากไล่ฉันแทนคุณนายผ่องศรีเลยหรือไง ตอนนี้ใหญ่โตมากแล้วสินะ กลายเป็นหลานรักคุณนายแบบเต็มตัวแล้วใช่ไหม”
เมื่อเด็กสาวก้าวขึ้นมายืนด้านบนได้ ก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ปรานต์ ก่อนตอบกับด้วยเสียงกระแทกกระทั้น
“คุณย่าบอกไว้ว่าคุณปรานต์ไม่รักพวกเรา ไม่ยอมส่งข่าว ไม่ยอมกลับมาเยี่ยม”เด็กสาวว่าพร้อมยกมือเช็ดน้ำใสที่ไหลออกจากหางตา ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะด้วยความน้อยใจต่อชายหนุ่ม
“โถ ใครกันแน่ที่ใจร้าย ไม่ใช่เธอหรอกรึ ที่วันนั้นไม่ยอมไปส่งฉันขึ้นรถ”
เพลินตาจดจำเรื่องราวในวันเด็กได้ หล่อนโกรธและงอนปรานต์ที่เขาตัดสินใจไปเรียนต่างประเทศ ด้วยความเป็นเด็กจึงไม่เข้าใจสิ่งใด แถมประชดด้วยการขังตนเองอยู่ในห้องนอน กระทั่งชายหนุ่มนั่งรถออกจากตะวันฉายฟาร์ม ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้หล่อนเพิ่งได้พบหน้าเขา
“ไม่ใช่ความผิดหนู...เอ่อ เพลินสักหน่อย” หล่อนแย้งกลับ
“เอาล่ะ ตอนนี้ฉันกลับมาแล้ว อยากรู้นัก ใครบางคนจะปากแข็งได้นานสักแค่ไหน”
เขาว่าแล้วจึงหมุนตัวกลับ ตั้งใจเข้าไปสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เป็นจังหวะนั้นที่หญิงสาวรวบรวมความกล้า ก่อนเอ่ยปากพูดกับเขา “อาหารเย็นเริ่มตอนหกโมงครึ่ง เดี๋ยวเพลินให้คนขับรถกลอฟ์มารับ”
“ขอบใจ แล้วไว้เจอกัน อ๋อ เกือบลืม...ฉัน เอ๊ย พี่ มีของฝากด้วย” เขาเปลี่ยนคำเรียกตนเอง อย่างคนสนิทสนมกัน และท่าทางถือตัวก็หายไป
“ของฝากอะไรคะ”เด็กสาวตื่นเต้นดีใจ อยากโผเข้าไปหาเข้าใกล้ๆ แต่เมื่อคิดว่าหล่อนไม่ใช่เด็กเล็กๆ อย่างเช่นวันวานจึงหยุดความคิดนั้นเสีย
ชายหนุ่มยิ้มทั้งใบหน้า เขามองเด็กสาวตรงหน้าด้วยสายตาอ่อนโยน “ก็สำหรับน้องสาวของพี่ไง ว่าแต่ เพลิน...ยังเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้น คนที่อยากได้ของขวัญจากพี่ปรานต์อยู่ไหม...”
ปรานต์รู้สึกสนุกเป็นครั้งแรกที่กลับมายังไร่ของคุณย่า ทั้งที่คิดว่ามีสิ่งน่าเบื่อรออยู่ แต่ในความจริงกลับมีหลายสิ่งที่ทำให้เสือยิ้มยาก ยิ้มออกจนหลายคนสงสัย นั่นเป็นเพราะเขาได้รับความรักจากผู้เป็นย่าซึ่งไม่ใช่ในแบบที่เขาคิดไว้ นอกจากนั้นเพลินตายังมอบความสุขกับเรื่องเปิ่นๆ ของหล่อนให้เขาต้องขบขันบ่อยครั้ง
และทั้งคู่ยังได้ย้อนวัยด้วยการไปตกปลา หาของป่ามากิน แล้วปรุงด้วยพืชพักง่ายๆ พร้อมช่วยกันดูแลสัตว์ที่อยู่ในฟาร์มเหมือนในอดีต และมีสัตว์หลายตัวที่เขากับหล่อนตั้งชื่อให้พวกมัน และเรียกว่าเป็นลูก
“เล่นไม่รู้จักโตนะตาปรานต์” ผ่องศรีมักบ่นกับเขาเช่นนั้น
“แล้วถ้าผมไม่โตคุณย่าจะรักไหม” เขาอ้อน เพราะแบบนี้นางถึงได้หลงหลานคนนี้มาก
“จะมาเอาอะไรกับย่า ถ้าอยากให้รักปรานต์ต้องรีบมีเหลนให้ย่าไวๆ” ผ่องศรีว่าอย่างมีความหวัง
“เหอๆ อย่าเพิ่งมาหวังกับผมเลย คนที่จะมีหลานให้คุณย่าตั้งแต่เรียนไม่ทันจบ คงเป็นคุณหนูบอยมากกว่า ผมได้ข่าวว่าโรงเรียนไม่ยักจะไป วันๆ ติดเที่ยวห้างในเมือง และคั่วสาวไม่ซ้ำหน้า” ปรานต์หมายถึงธนากร ลูกชายคนโตของหงส์งาม
“อย่าไปว่าน้องเลย บอยขาดพ่อไปคนหนึ่งก็น่าสงสารพอแล้ว ไม่มีคนคอยอบรมสั่งสอน ส่วนหงส์งามนั้นสามวันดีสี่วันไข้ เอาแน่เอานอนไม่ได้”
เมื่อผ่องศรีเอ่ยเช่นนั้น ปรานต์จึงเข้าใจทุกสิ่งอย่างแจ่มชัด หญิงสูงวัยห่วงลูกสะใภ้มาก สำหรับธนากร นางยิ่งหวงเขาใครเลยแตะต้องมิได้
“ครับเรื่องนั้นผมเข้าใจดี แต่อย่างไรบอยก็จะเป็นกำลังสำคัญของคุณย่าในอนาคต”
สีหน้าผ่องศรีซีดเผือดลง นางนิ่งไปเกือบหนึ่งอึดใจ แล้วยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ จากนั้นจึงเอ่ยกับปรานต์ด้วยเสียงติดเข้มงวดกว่าเดิม
“แต่ย่าไม่ได้คิดอย่างนั้น ถึงอย่างไรปรานต์ก็เรียนจบแล้ว ไม่คิดอยากมาช่วยย่าจริงๆ จังๆ เสียทีหรือ”
โดยส่วนตัวปรานต์ไม่คิดอยากออกแรงมากกว่านี้ เขารับปากว่าจะช่วยดูเรื่องระบบการบริหารของรีสอร์ทกับการตลาดเล็กน้อย เพียงเท่านี้หงส์งามก็มองตาขวาง ในตะวันฉายฟาร์มอีกฝ่ายมีผลประโยชน์อยู่มาก หากต้องสูญเสียการบังคับบัญชาไปเธอคงไม่ชอบใจ เขาจึงต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ ทีละนิด หากให้หักต้นไม้ใหญ่ในคราวเดียว ครอบครัวคงมีเรื่องแตกหัก สุดท้ายอาจมองหน้ากันไม่ติด
“ก่อนที่ผมจะกลับไปเรียนต่อและทำงานที่ผมรัก ผมยินดีทำหน้าที่ พนักงานของตะวันฉายฟาร์ม เป็นเวลา 3 เดือน”
“นี่ตาปรานต์กำลังเล่นตลกใช่ไหม เวลาเท่านี้จะทำอะไรได้” ผ่องศรีใจหายที่หลานชายเอ่ยเช่นนั้น
“โอ้ 3 เดือนถือว่าแยะแล้วครับ เวลาเท่านี้จะทำให้คุณย่าเห็นว่า ใครเป็นคนปั่นต้นทุนของที่นี่จนสูงเกินความเป็นจริง และพวกเขาควรพิจารณาตัวเองเสียใหม่”
ผ่องศรีมองหลานชายคนโตด้วยความพอใจ ที่ปรานต์รับอาสาช่วยงานครั้งนี้ ถึงเป็นเวลาเพียงน้อยนิดก็ตาม
“ถ้าอย่างนั้นแล้วแต่ปรานต์เห็นสมควรเถอะ ย่าแก่แล้วหวังเพียงให้ลูกหลานช่วยงาน ไม่อย่างนั้นตะวันฉายฟาร์มคงต้องปิดตัว”
หัวคิ้วเข้มๆ ของหลานชายคนโตขมวดมุ่น แต่แรกเขามีแผนอยากไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา หากคำพูดของย่าทำให้ชายหนุ่มแอบเครียดมิน้อย
“อย่างไรผมจะทำให้ดีที่สุด ให้สมกับที่พ่อฝากฝังงานครั้งนี้”
ผ่องศรีมองหน้าหลานชายซึ่งมีความละม้ายประมวลอยู่มาก ลูกชายคนโตของนางรั้น ปากหนักและคิดอยู่เสมอว่านางไม่รักเขา
“ขอบใจ อย่างน้อยหลานก็ไม่ทิ้งผู้หญิงแก่ๆ คนนี้ไว้ตามลำพัง”
“ทำไมคุณย่าพูดอย่างนั้นล่ะครับ ที่นี่มีทั้งบอยและอาหงส์ แล้วไหนจะคนงานที่ช่วยมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่อีก”
หญิงสูงวัยยิ้มออกมาน้อยๆ นางรับรู้ถึงจิตใจของปรานต์ ในท่าทางรั้นๆ และปากร้ายดูเหมือนไม่ยอมใคร ปรานต์กลับซ่อนความเมตตาและเข้าใจผู้อื่นอยู่มาก
“แต่มันไม่เหมือนกัน คนที่ย่าอยากให้กลับมาดูแลที่นี่คือปรานต์ และประมวล แต่จนป่านนี้เขายังไม่เคยคิดถึงย่า”
ชายหนุ่มหลับตาลง คำพูดนี้เขาไม่คาดคิดว่าจะได้ยินจากปากผ่องศรี หากบิดารับรู้คงซาบซึ้งใจไม่น้อย
“คุณย่าควรจะบอกกับพ่อเองนะครับ เรื่องนี้ผมไม่รับฝาก” เขาว่าด้วยเสียงรื่นเริง ผิดแต่หญิงชราไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นด้วย
“ย่าได้แต่หวังว่าจะมีวันนั้น”นางเอ่ยจบก็เตรียมลุกจากไป แต่หลานชายตัดสินใจบอกความต้องการของตนเสียก่อน
“อีกอย่าง ผมขอวางระบบโปรแกรมการเที่ยวใหม่ของตะวันฉายฟาร์มเพียงคนเดียว โดยไม่ต้องให้บอยกับคุณอาหงส์เข้ามาช่วย”
ผ่องศรีหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อไตร่ตรองสิ่งที่ปรานต์กล่าว
“ได้สิ เอาที่ปรานต์ชอบ ขอเพียงแต่อย่าทำให้รีสอร์ตเจ๊งเป็นพอ”
และในความจริงปรานต์ใช้เวลาเกือบครึ่งปีหลังจากนั้นเพื่อปรับปรุงทุกสิ่งอย่างให้ตะวันฉายเข้ารูปเข้ารอย นอกจากรีสอร์ทไม่ขาดทุนยังมีการปรับเปลี่ยนหลายสิ่งหลายอย่าง รวมถึงแผนผังการท่องเที่ยวภายในรีสอร์ท มีโปรแกรมต่างๆ ให้ผู้เข้าพักมีส่วนร่วมสนุกตลอดวัน ที่ปรานต์ให้สำคัญคือการพัฒนาบุคคลากร ให้มีความรักต่อตะวันฉายฟาร์ม เมื่อระบบเข้าที่เขาจึงยอมวางมือให้หงส์งามเข้ามามีส่วนรับผิดชอบงานอย่างเต็มตัว ฝ่ายนั้นไม่ได้แสดงความไม่พอใจให้เห็น แต่ชายหนุ่มรู้อยู่ลึกๆ ว่าตลอดระยะเวลาที่เขาทำงาน หงส์งามมีคนคอยสอดส่องเป็นหูเป็นตาและรายงานข่าวให้เสมอ หนึ่งในนั้นคือตุลย์