5.อยากมีบ้านเล็ก
ในขณะที่ปรานต์อยู่ช่วยงานผ่องศรี เพลินตาไม่ได้มีโอกาสช่วยงานปรานต์ เด็กสาวเรียนหนักมาก และเดือนสุดท้ายที่เขาอยู่ช่วยงานในฟาร์ม หล่อนยังป่วยเป็นอีสุกอีใสอีกด้วย
เพลินตามีเรือนหลังเล็กในตะวันฉายฟาร์ม ตั้งแต่หล่อนถูกผ่องศรีพบที่ข้างกองขยะในตอนเย็นวันหนึ่ง หญิงสูงวัยให้ความเมตตาต่อหล่อนมาก ถึงไม่ได้ประกาศบอกทุกวันว่าหล่อนเป็นหลานในตระกูลดำรงทรัพย์ไพศาล แต่ทุกคนให้เกียรติและเข้าใจฐานะของเด็กสาวดี
ชายหนุ่มไม่ได้ไปเยี่ยมเพลินตาที่โรงพยาบาล กระทั่งเกือบหนึ่งอาทิตย์หลังจากนั้น หล่อนจึงกลับมาอยู่เรือนหลังเล็ก แต่หมอสั่งห้ามไม่ให้ออกมาตากลมและพบปะผู้คน เมื่อปรานต์ว่างจากภาระในฟาร์ม เขาจึงแวะมาหาหล่อนในเย็นวันหนึ่ง
“พี่กลับมาทั้งที แต่เพลินดันป่วยเสียอีก”
“เพลินแข็งแรงออก”หล่อนว่าพร้อมกับยิ้มให้เขา แต่เป็นยิ้มแห้งๆ ของคนที่เพิ่งฟื้นไข้
“เอาไว้หายป่วยและแผลแห้งเสียก่อนค่อยไปเที่ยวด้วยกัน ตอนนี้อย่าเพิ่งฝืนอะไรเลย พักผ่อนให้มากเดี๋ยวไม่สวย” เขาบอกหล่อน เพราะคนป่วยมีอาการไม่สู้ดีซักเท่าไหร่ กระนั้นหล่อนยังกินเยอะโดยเฉพาะขนมคบเขี้ยวกับของหวาน ซึ่งเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เพลินตาหายจากอาการป่วยช้าหรือไม่
เด็กสาวพยักหน้าเข้าใจ ก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงเศร้าๆ
“พี่ปรานต์จะกลับไปเรียนต่อและทำงานที่บ้านคุณยายจริงๆ หรือคะ”เด็กสาวเพิ่งพบหน้าเขาได้ไม่เท่าไหร่ ยังไม่หายคิดถึงด้วยซ้ำอีกฝ่ายก็ต้องจากไกล
“อื้อ มีหลายอย่างที่พี่ต้องจัดการให้เสร็จ อย่างที่บอกลูกผู้ชายต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองให้ได้”
เพลินตาถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก หล่อนมองชายหนุ่มเต็มสองตา “แล้วใครจะช่วยคุณย่าคะ”
ปรานต์ยิ้มให้หล่อน มือใหญ่เตรียมยื่นมาวางบนผมยาวสลวย แต่เด็กสาวรีบเบี่ยงตัวหลบ
“ดะ เดี๋ยวติดไข้หรอกค่ะ ติดแล้วไม่หล่อ จะมาว่าเพลินไม่ได้นะ”
“ฮ่าๆ ๆ เด็กน้อย ถ้าพี่กลายเป็นท้าวแสนปม มีตุ่มเต็มตัว อยากรู้นัก จะมีใครรัก มีใครดูแลบ้างไหม” เขาแกล้งถาม
“เพลินต้องขอดูก่อนว่า ขี้ริ้ว ขี้เหร่แค่ไหน ถ้าพอดูได้ และนิสัยไม่แย่มาก เพลินจะรับผิดชอบเลี้ยงพี่ปรานต์เอง”
ชายหนุ่มมองคนป่วยด้วยความทึ่งจัด เพลินตาเป็นเด็กสาวแสนซื่อ มีความจริงใจมาก แต่คำพูดที่หลุดออกมาจากปากหล่อนทำให้หัวใจเขาพองฟู ทั้งที่ไม่ใช่หนุ่มน้อย หากเขายอมรับว่าประทับใจเด็กสาวตัวอวบ
เจ้าเนื้อแสนน่ารักคนนี้มาก
“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง เพลินคิดจีบพี่ใช่ไหม”
เด็กสาวอ้าปากหวอ ดวงตากลมมองเขาอย่างไม่เชื่อว่าจะได้ยินคำพูดนั้น
“พี่ปรานต์เอาอะไรมาพูด เพลินยังเด็กอยู่...” หล่อนอายม้วน แก้มป่องๆ ทั้งสองข้างแต้มสีแดงจัด
“ถึงยังเป็นเด็กอวบอ้วน เพลินก็ต้องวางแผนอนาคต” เขายิ้มเจ้าเล่ห์ในหัวไม่ได้คิดถึงเรื่องชู้สาวสักนิด เพียงแต่อยากเย้าหยอกเพลินตา
“ไม่เอาแล้ว เพลินไม่อยากคุยกับพี่ปรานต์ ว่าเพลินอ้วนยังไม่พอ ยังจะ…มาขี้ตู่ว่าเพลินชอบพี่อีก เดี๋ยวจะฟ้องคุณย่าให้ไล่พี่ปรานต์กลับต่างประเทศไปเลย” หล่อนยื่นมือไปคว้าตุ๊กตาหมีชื่อดุ๊กดิ๊กซึ่งเขามอบให้เป็นของขวัญ แล้วเอามาปิดหน้าปิดตา
“ทำแบบนี้ เขาเรียกว่าเขินรู้ไหม ต่อไปต้องหัดพูดคุยกับหนุ่มๆ ให้มาก อย่าเอาแต่เล่นดินเล่นทรายและเลี้ยงหมู เลี้ยงม้า ไม่อย่างนั้นโตขึ้นมาเดี๋ยวอดมีแฟนไม่รู้ด้วย” ปรานต์เอ่ยจบจึงหัวเราะลงลูกคอ
“มันเรื่องของเพลิน แล้วถ้าโตเมื่อไหร่ ยังไงก็จะไม่เอาพี่ปรานต์เป็นแฟนแน่นอน”
“เชื่อได้หรือคำนี้” เขายังยั่วโมโหเด็กสาวไม่เลิก หล่อนขวยเขินจัด และเตรียมโยนตุ๊กตาหมีมาใส่เขา
“เชื่อได้สิ เพลินมีคนที่ชอบอยู่แล้ว และเพลินจะแต่งงานกับเขา”
“ฮ่าๆ ๆ ใครน้าที่เป็นผู้ชายโชคร้ายคนนั้น” เขายังเย้าแหย่ไม่เลิก
เด็กสาวเชิดหน้าสูง โมโหที่ปรานต์พูดจี้ใจดำหล่อนไม่เลิก
“รู้แล้วพี่ปรานต์ต้องช็อกตายแน่ๆ”เพลินตาเน้นหางเสียงหนักแน่น หล่อนมั่นใจว่าตนกำลังจะปล่อยหมัดเด็ดซัดปลายคางชายหนุ่มให้ล้มหงายลงไปนอนให้กรรมการนับสิบ
“แล้วเขาคนนั้นเป็นใครหรือจ๊ะ คุณเพลินตาคนสวย”
เด็กสาวกรี๊ดออกมาหนึ่งหนแล้วตอบเขาเสียงดัง
“เพลิน... เพลินจะแต่งงานกับพี่บอย!”
และคำพูดที่หลุดปากจากเด็กสาวในวันนั้น ยังดังก้องอยู่ในหัวใจปรานต์จนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบัน
สำนักงานใหญ่ของบัดดี้แอนด์ทอยส์ตั้งอยู่แถบชานเมืองหลวง เป็นที่ติดต่องานขายและศูนย์บริการลูกค้า บริษัทแห่งนี้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้และของเล่นเด็กหลากหลายประเภท ส่วนมากเป็นงานส่งออกในกลุ่มประเทศเอเชีย ยุโรป และทางตะวันตก
บัดดี้แอนด์ทอยส์ก่อตั้งมาราวๆ 20 ปีเศษ เป็นบริษัทขนาดกลาง ผู้บริหารหลักคือคุณตาของปรานต์ซึ่งมีเชื้อสายจีน-ฮ่องกง เขามีลูกห้าคน ซึ่งต่างแยกย้ายไปทำธุรกิจส่วนตัว จะมีก็แต่ประมวลซึ่งเป็นลูกเขยและนาตาลีลูกสาวคอยช่วยงานมาตลอด อีกทั้งผืนดินที่ตั้งบริษัทเป็นของภรรยาคนแรกซึ่งก็คือคุณยายของปรานต์ ดังนั้นจึงตั้งใจยกให้ชายหนุ่มดูแลบริษัทแห่งนี้ ก่อนไปใช้ชีวิตในบั้นปลายกับญาติที่บ้านเกิด
หลังจากกลับจากสหรัฐฯ ไม่เพียงหนึ่งเดือน ปรานต์จึงเข้ามาช่วยบริหารงานที่นี่อย่างเต็มตัว เขาชอบเรื่องการออกแบบเป็นทุน นอกจากนั้นยังมีหัวใจของเด็กชายตัวน้อยซุกซ่อนอยู่ และนั่นทำให้ชิ้นงานที่เขาคิดวิเคราะห์ออกมาถูกใจลูกค้าทุกครั้งไป บริษัทจึงเติบโตแบบก้าวกระโดดเป็นที่จับตาของบริษัทอื่นๆ ซึ่งทำธุรกิจในรูปแบบคล้ายกัน
การเป็นผู้บริหารหนุ่มโสดทำให้เขาเป็นที่จับตาของสาวๆ รวมถึง
เซเลป นางแบบ แต่ชายหนุ่มมิได้ให้ความหวังกับสาวๆ คนไหนเป็นพิเศษ ตอนนี้เขาต้องดูแลชีวิตน้อยๆ ซึ่งอยู่ในวัยกำลังน่าฟัด เรื่องนี้กลายเป็นความลับที่ใครหลายคนต่างอยากรู้ว่าเขาแอบมีบ้านเล็กจริงหรือไม่
บรรดาสาวโสดรวมถึงคนที่เคยกิ๊กกันต่างต้องการคลุกวงในเพื่อเข้าหาปรานต์ ด้วยหวังลึกๆ ว่าจะได้เป็นหลานสะใภ้ของนาตาลี และพ่วงด้วยทรัพย์สมบัติของผ่องศรี เจ้าของตะวันฉายฟาร์ม
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ นะคะ คุณปรานต์ ฤทัยเกรงว่าหากมันไปถึงหูคุณนาตาลีเมื่อไหร่ เราคงจบไม่สวย” ฤทัยเลขาสาวใหญ่วัยห้าสิบตอนต้นกล่าวพร้อมเหลียวซ้ายแลขวา เธอกลัวเหลือเกินว่าที่นี่จะมีสายลับของนาตาลีมารดาผู้บริหารหนุ่มแอบซ่อนอยู่
“ก็อย่าให้เรื่องนี้แดงไปถึงแม่สิ ฤทัยช่วยงานคุณตากับคุณพ่อมาตั้งกี่ปี ความลับแค่นี้เก็บไม่ได้หรือ อีกอย่างคุณแม่ก็ยุ่งกับงานร้านอาหารที่ลาสเวกัส คงไม่มีเวลามาสนใจผมหรอก”
มารดาชายหนุ่มมีธุรกิจของครอบครัวทางคุณยายที่หย่าขาดไปกับคุณตาปรานต์หลายสิบปี ฝั่งนั้นเปิดร้านอาหารไทยใหญ่โต ทุกปีในช่วงเดือนตุลาคมจนถึงพฤศจิกายน นาตาลีจะมีงานรัดตัวมากเธอต้องไปเปิดบูธ
ร้านอาหารในเทศกาลอาหารไทยตามรัฐใหญ่ๆ ทั่วสหรัฐอเมริกา
“ฤทัยทำได้แน่นอนค่ะ แต่ให้เก็บเรื่องนี้ได้นานแค่ไหนเชียว สาวๆ ของคุณปรานต์มาที่ออฟฟิศบ่อยเหลือเกิน อีกหน่อยคงมีคนเอาเรื่องนี้ไป
พูดจนถึงหูคุณนาตาลี”
“เฮ้อ อะไรจะเกิดมาก็ต้องเกิด เรื่องแม่ผมไม่ห่วง ผมห่วงความรู้สึกไข่หวานมากกว่า”
เป็นอีกครั้งที่เลขาสาวใหญ่ได้ยินเสียงทุ้มๆ ของเจ้านายซึ่งเจือความเครียดจัด ทั้งหมดไม่ได้มีปัญหาจากภาระงาน แต่เกี่ยวพันต่อความเนื้อหอมของเขาและเด็กหญิงพรนับพัน ซึ่งเธอเหมือนเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจชายหนุ่ม
พรนับพันคือเด็กหญิงวัยสองขวบเศษ ซึ่งเหมือนจะโตขึ้นในอ้อมกอดของเขาเพียงชั่วข้ามคืน โดยมีแม่นมเป็นฤทัยกับสมนึกแม่บ้านประจำเรือนใหญ่ของปรานต์ซึ่งย้ายมาช่วยงานที่ออฟฟิศสำนักงานแห่งนี้ โดยประมวลเปิดไฟเขียวให้