2.มองได้แต่อย่าชอบ
ประมวลทำงานในบริษัทกฏหมายซึ่งดูแลครอบครัวของนาตาลีมานาน ด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจของผู้ใหญ่ บวกความขยันเอาใจใส่ในงานอีกทั้งหน่วยก้านดี เขาจึงเป็นที่ถูกใจนาตาลีกระทั่งได้ครองรักกันมาจนถึงทุกวันนี้
“แปลกนะครับ ปกติผมแทบไม่ได้ยินพ่อเถียงแม่สักคำ แล้วกับย่าที่ดุยิ่งกว่านางเสือ พ่อไปเอาความอดทนมาจากไหน ถึงได้แตกหักกันจนถูกตัดออกจากกองมรดก”
“ฮึ แกไม่รู้อะไร พ่อไม่เคยทนย่าได้สักครั้ง ทางออกเดียวคือปิดปากเงียบ จนวันหนึ่งระเบิดแตกจึงเก็บกระเป๋าหนีออกจากบ้านทั้งที่เรียนยังไม่จบ ม. 6 ด้วยซ้ำ”
ปรานต์รู้ว่าบิดาต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนกว่าจะมีวันนี้ กระนั้นถึงหนีออกจากบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย ผ่องศรีก็ไม่ได้ปล่อยให้ลูกชายตกระกำลำบาก นางไหว้วานเพื่อนที่รู้จักคอยช่วยเหลือเขาอยู่ห่างๆ กระทั่งประมวลเรียนจบปริญญาตรีได้เข้าทำงานในสำนักงานทนายความชื่อดังในเวลาต่อมา
และเมื่อเขาแต่งงานและมีลูกชายสุดน่ารัก เป็นตอนนั้นที่ผ่องศรีได้ทวงสิทธิความเป็นแม่จากประมวล นางอยากได้หลานชายไปดูอยู่ด้วยกันที่ตะวันฉายฟาร์ม
และหลังจากปรานต์อายุได้ราวๆ 15 ปี ประมวลมีโอกาสกลับไปที่บ้านเกิดอีกครั้ง ผ่องศรีดีใจมากที่ได้เห็นลูกชายทั้งสองคนอยู่พร้อมหน้า แต่เหมือนฟ้าจะกลั่นแกล้งคนตระกูลดำรงทรัพย์ไพศาล ในคืนหนึ่งที่ประมวลและทิวาขับรถออกไปเพื่อเยี่ยมหงส์งามที่เพิ่งให้กำเนิดลูกสาวคนที่สามก็เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
ทิวาซึ่งเป็นคนโดยสารสามารถออกมาจากรถได้ก่อนที่มันจะระเบิด แต่ประมวลซึ่งเป็นคนขับสลบไม่ได้สติ น้องชายจึงเข้าไปช่วยอย่างสุดกำลัง พอประมวลออกมาจากรถได้อย่างทุลักทุเลก็เป็นจังหวะเดียวกันที่รถบรรทุกขับมาด้วยความเร็ว ทิวาโชคร้ายสะดุดขาตนเองลื่นล้ม รถบรรทุกคันดังกล่าวจึงชนทิวาเข้าอย่างแรง ลากเขาไปไกลหลายร้อยเมตร เสียชีวิตอย่างน่าสงสาร
เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ใหญ่หลวงแก่ผ่องศรี นางไม่เคยปริปากเอ่ยกับประมวลอีก ราวกับเป็นการตัดสินลูกชายคนโตว่าทำให้น้องต้องจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เพราะในวันนั้นประมวลดื่มสุราไปมิน้อย ทั้งที่ทิวาขอที่จะเป็นคนขับรถเอง แต่เขาไม่อยากเสียหน้าจึงฝืนขับรถออกไปสุดท้ายก็เกิดเรื่องเศร้า
“แต่แกรู้ไหม ครั้งแรกพ่อตั้งใจหนีจากคุณย่าจริงๆ แต่หลังงานศพอาทิวา พ่อไม่อยากจากตะวันฉายฟาร์มเลย พ่อขอร้องคุณย่ากราบเท้าท่านขอให้พ่อได้อยู่ที่นี่เพื่อแก้ไขสิ่งที่ทำผิดพลาด” ประมวลกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ปรานต์รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของเขา
“แต่คุณย่ายื่นคำขาด ท่านไม่อยากพบหน้าพ่ออีก”
“อ้าว แล้วอย่างนี้ยังกล้าส่งผมไปให้ย่าเชือดถึงที่”ปรานต์โอดครวญ
“กลับแกมันไม่เหมือนกัน ย่าอาจเกลียดขี้หน้าพ่อ แต่แก...คือหลานชายคนโตที่ย่าคาดหวังให้เป็นกำลังสำคัญช่วยดูแลตะวันฉายฟาร์ม”
ชายหนุ่มถอนหายใจเสียงดัง เขาตั้งใจหลบผ่องศรีเกือบ 10 ปีด้วยการไปเรียนต่างประเทศ ได้เรียนรู้งานต่างๆ กับคุณยายที่เปิดธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารที่ลาสเวกัสประเทศสหรัฐอเมริกา กระนั้นดูเหมือนความตั้งใจของผ่องศรีไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย
“หวังว่าผมจะไม่ทำอะไรให้คุณย่าช็อกจัด แล้วเป็นลมเป็นแล้งไปนะครับ”
“อย่าทำเป็นพูดเล่น แกต้องทำหน้าที่หลานให้ดีที่สุด ทดแทนสิ่งที่พ่อไม่เคยทำสำเร็จ”
“โอเค ถ้าพูดขนาดนี้ ยังไงผมก็ถือว่าเป็นหลานชายคนโต คงต้องไปแสดงตัวเสียหน่อย เพื่อจะได้สมบัติติดตัวกลับมาบ้าง”
“อย่าเอาแต่พูดเล่น แกก็รู้ตัวพ่อผิดอยู่มาก ที่ไม่เคยหันหลังกลับไปดูแลท่าน และพ่อหวังว่าแกจะเป็นหลานที่ดีได้” ประมวลว่าอย่างสำนึกผิดและเสียใจต่อการกระทำของตน
“ผมเข้าใจครับ แต่ผมคงรั้นไม่ต่างจากคุณย่า ฮ่าๆ ๆ”
ปรานต์หัวเราะร่วน เขาเป็นหลานของผ่องศรี เศรษฐีนีซึ่งมีทรัพย์สมบัติหลายพันล้านบาท ซึ่งใครๆ ควรดีใจ ผิดแต่ปรานต์คนนี้ไม่เคยเนื้อเต้นกับเงินของอีกฝ่าย เขารู้ดีว่าไม่อาจเป็นหลานรักของหญิงสูงวัย แต่ถ้าให้เล่นบทหลายชังล่ะก็ คงเข้าทางหนุ่มหล่อมากกว่า
ปรานต์ไปถึงตะวันฉายฟาร์มด้วยรถสปอร์ตในยามสายที่แดดร้อนเปรี้ยง เขาไม่เคยขับรถมาที่นี่ด้วยตนเอง ในอดีตนั่งแต่รถตู้ที่ผ่องศรีจัดหาให้ และส่วนมากเขาจะงีบหลับตลอดทาง
ดังนั้นพอได้ขับรถเองเขาจึงหลงทาง เมื่อถามชาวบ้านแถวนั้นต้องหัวหมุนอีกหนัก ด้วยบอกทางจนเขาสับสนไปหมด กระทั่งดับเครื่องยนต์ที่ลานจอดรถของฟาร์ม เขาจึงรู้สึกเหมือนได้กลับคืนสู่วัยเด็กอีกครั้ง
“สวัสดีครับ คุณ...” ตุลย์ผู้จัดการฟาร์มหนุ่มผิวสองสี วัยเฉียด 30 ปี ปรี่เข้ามากล่าวทักทายเขา
ปรานต์พยักหน้าให้อีกฝ่าย พลางมองหาคนที่รู้จัก เขาไม่ได้กลับมาที่นี่นานโข ครั้งสุดท้ายที่จำได้คือ เป็นช่วงใกล้จบมัธยมต้น แถมยังก่อเรื่องให้ผ่องศรีต้องปวดหัวหนัก เพราะแอบดื่มแอลกอฮอล์และริสูบบุหรี่ จากนั้นก็เอาม้าตัวโปรดของนางออกไปขี่เล่น พลอยให้ทุกคนต้องร้อนใจ
“คุณย่าอยู่ไหม”
ผู้จัดการมองปรานต์อีกครั้ง อีกฝ่ายเพิ่งมาทำงานใหม่ได้ไม่ถึงปี จึงไม่รู้จักหนุ่มรูปงาม
“คุณลูกค้าหมายถึงใครครับ”
“คุณนายผ่องศรี” เขาว่าพร้อมชะเง้อชะแง้คอมองหาหญิงสูงวัย และรู้สึกว่ามีหลายสิ่งในที่นี่ต้องได้รับการปรับปรุงโดยด่วน เขาเห็นพนักงานหลายยืนคุยเล่นกัน โดยไม่สนใจดูแลแขกซึ่งเพิ่งขับเข้ามาจอด นอกจากนั้นสภาพในจุดต้อนรับลูกค้าก็ทรุดโทรม ดูไม่ทันสมัย
“คุณท่านออกไปข้างนอกครับ ให้ผมเรียนว่าอย่างไรมิทราบ”
“อ๋อ ถ้าอย่างนั้นฉันขอเข้าไปพักข้างในก่อน ช่วยจัดห้องให้ด้วย” เขาบอกความต้องการของตน
ตุลย์ทำหน้ายุ่งยากใจ แต่สุดท้ายก็เอ่ยถามตรงๆ “คุณเป็นใครนะครับ ประทานโทษที่ผมไม่ทราบ”
“หลาน ฉันเป็นหลานชายคนโตของคุณผ่องศรี หวังว่าคงพอมีห้องเล็กๆ ให้ฉันได้ล้างหน้าล้างตานะ”
ใบหน้าผู้จัดการเปลี่ยนสีไปในทันที ก่อนตอบตะกุกตะกักว่า
“มะ มีสิครับ เดี๋ยวผมรีบจัดให้ เชิญเลยครับ”
ตุลย์ตอบแล้วรีบผายมือให้ชายหนุ่มก้าวไปใน เขาสั่งให้เจ้าหน้าที่ผู้หญิงอีกคนจัดหาห้องพักให้หลานชายคนโตของผ่องศรีโดยด่วน
“อ่อ แล้วไม่ต้องโทร.ไปรายงานบอยและคุณหงส์งามว่าฉันมาถึงแล้วนะ ตอนนี้ฉันอยากอยู่อย่างสงบๆ ยังไม่ต้องการเปิดศึกกับใคร”
ตุลย์ซึ่งกำลังเตรียมกดมือถือต่อหาหงส์งามสะใภ้คนเล็กของผ่องศรีต้องชะงักค้าง
“ดะ ได้ครับ แต่อย่างไร ผมขอแจ้งให้คุณผ่องศรีทราบ”
“อื้อฮึ นั่นคือสิ่งที่คุณควรทำ”ปรานต์ว่าแล้วก็กวาดตามองไปรอบๆ อีกครั้ง พลางคิดถึงเด็กหญิงคนหนึ่งในอดีต เขาจำได้ว่าเคยเย้าหยอกกับอีกฝ่ายและพาไปเที่ยวเล่นสนุกบ่อยครั้ง ป่านนี้จะโตขึ้นแค่ไหน ยังเป็นคนขี้แย ชอบร้องไห้เหมือนเดิมหรือไม่
“เพลินยังอยู่ที่นี่ไหม” เขาถามผู้จัดการที่สาละวนกับการใช้วิทยุติดตามตัวเรียกคนขับรถกอล์ฟมาขนกระเป๋าปรานต์ไปส่งยังห้องพัก
“อ๋อ น้องเพลินอยู่นะครับ อยากให้ผมเรียกหรือเปล่า”
ปรานต์ส่ายหน้าน้อยๆ เขาอยากเซอร์ไพรส์อีกฝ่ายมากกว่า การพบกันในครั้งนี้คงมีหลายสิ่งที่เปลี่ยนไป นอกจากนั้นเด็กหญิงตัวอวบแสนขี้แยในวันวาน อาจจดจำเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ไม่เป็นไร ฉันอยู่ที่นี่อีกนาน ยังไงคงได้เจอกัน”
ปรานต์เอ่ยจบตุลย์ก็เชิญให้ขึ้นรถกอล์ฟ เพื่อพาไปส่งยังพลูวิลล่า