ตอนที่ 3.ว่าที่นักศึกษาแพทย์
“พรุ่งนี้แม่จะไปฟังพระกับพ่อด้วยไหมคะ รสาอยากไปด้วย” ฉันกลั้นใจถาม
แม่ชะงักมองหน้าฉัน “รสาสงสารพี่ชายค่ะ พี่ชายน่าจะเสียใจ” ฉันตอบแม่เสียงสั่น พยายามกลั้นน้ำตาแทบแย่ หากฉันเสียแม่ไปแบบพี่ชาย ฉันคงเคว้งคว้างไม่น้อย
“อืม ได้สิ” แม่พยักหน้าแล้วก็กินมื้อเย็นต่อ
ฉันรู้สึกตื๊อตันแต่ก็พยายามฝืนกลืนอาหารมื้อนั้นลงไป ฉันสัญญากับตัวเองแล้ว หากอยากแข็งแรงไม่เป็นภาระของใครอีก ฉันต้องเข้มแข็งและไม่ขี้โรคเหมือนเก่า
พอกลับจากโรงเรียนสิ่งแรกที่ฉันทำคือลากเก้าอี้มาที่หน้าตู้เสื้อผ้า ฉันปีนขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ หยิบกระปุกออมสินที่ฉันซ่อนไว้ออกมา ฉันเทสตางค์ที่ฉันสะสมมาหลายปีลงบนที่นอน ใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงในการนับเหรียญทั้งหมดใส่ถุง
ฉันเม้มปากชั่งใจระหว่างเอาเหรียญเหล่านี้ไปแลกที่แม่ หรือแอบออกไปแลกที่ร้านค้าร้านอื่น ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจได้ ฉันควรปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้ครอบครัวของฉันรู้ ฉันหลบสายตาพ่อกับแม่ ปั่นจักรยานออกไปแลกเหรียญเป็นแบงก์ที่ร้านค้าในละแวกใกล้บ้าน
หลายปีมานี่ฉันสะสมสตางค์ได้ไม่น้อยเลย หลังจากเปลี่ยนเป็นแบงก์ ฉันมีเงินสดในกระเป๋ากางเกงถึงสี่พันสามร้อยบาททีเดียว
ฉันยิ้มแฉ่งจอดจักรยานไว้หน้าร้านอาหารตามสั่งของพ่อ
หากเป็นเวลาปกติ พ่อกับแม่จะสาละวนกับการขายของ แต่วันนี้ไม่เหมือนทุกวัน แม่กับพ่อกำลังช่วยกันเก็บล้างทำความสะอาด มีลูกค้าประจำแวะเข้ามาและกลับไปพร้อมกับความผิดหวัง
“ร้านปิดแล้วครับ” พ่อตอบพร้อมกับละล่ำละลักขอโทษ
“วันพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่นะครับ วันนี้ผมมีธุระจริงๆ”
“ไปไหนมาละเจ้าตัวแสบ” หลังลูกค้าออกไปจากร้าน พ่อก็หันมาถามฉัน
“นั่นสิ ไหนรับปากแม่แล้วไงว่าจะไม่ปั่นจักรยานบนถนน” แม่หันมาถามอีกคน
ฉันก้มหน้าไม่กล้าโกหก “รสามีของที่อยากได้ค่ะ รสาไม่กล้ากวนพ่อกับแม่ด้วยค่ะ”
น่าจะเป็นเพราะฉันไม่เคยโกหกเลยสักครั้ง ความเชื่อใจที่มีต่อฉัน พ่อแม่เลยไม่ได้ซักไซ้มากนัก
“ไปอาบน้ำสิ วันนี้เราจะไปส่งคุณน้าบ้านข้างๆ ด้วยกัน”
โชคดีที่ฉันกลับมาเร็ว ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ได้ไปด้วย ฉันนึกว่าพ่อกับแม่จะไปช่วงหัวค่ำเลยใจเย็น ที่ไหนได้ พ่อกับแม่ตั้งใจจะไปก่อนทุกคนนี่เอง
ฉันวิ่งตัวปลิว “ใส่สีขาวหรือไม่ก็สีดำนะรสา” เสียงแม่ตะโกนตามหลัง ฉันย่นจมูก ไม่ใคร่ชอบสีทึ่มๆ แบบนั้นเลย แต่คงจำเป็นแหละ เพราะทั้งพ่อกับแม่ฉันก็สวมเสื้อผ้าสีดำเช่นกัน
ฉันตื่นเต้นเล็กน้อย มือที่ซุกอยู่ในกระเป๋ากระโปรงชื้นไปด้วยไอเหงื่อ ฉันชะเง้อมองหาพี่ชายและเห็นเขานั่งนิ่งๆ อยู่บนศาลา พี่ชายนั่งก้มหน้านิ่ง ด้านข้างพี่ชายคนใหม่ มีพี่ชายของฉันนั่งอยู่ด้วย ฉันไม่ได้เจอหน้าพี่ชายเกือบสองวันเต็มๆ เขาขลุกอยู่ที่นี่นี่เอง
“ไปไหว้ลาคุณน้ากันก่อนดีมั้ยรสา” แม่ชวนฉัน และฉันก็เต็มใจ
ฉันทำตามที่แม่บอก พี่ชายของฉันจุดธูปหนึ่งดอกส่งให้ฉันกับแม่ แม่พึมพำบางอย่างที่ฉันไม่ค่อยได้ยิน คงเพราะเสียงเพลงและเสียงที่ดังรอบตัว เสียงแผ่วๆ ของแม่พลอยทำให้ฉันเลยไม่ได้ยินไปด้วย
“ทำไมรีบจังเลยล่ะ ไม่รอพ่อกลับมาก่อนเหรอ?” แม่ฉันกระซิบถาม ก่อนจะตบหลังมือพี่ชายเบาๆ
ลุคฝืนยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า ปัญหาของเขายากที่จะอธิบายให้คนนอกฟัง
“มีอะไรให้ลุงช่วย บอกได้เลยนะลุค” พ่อฉันที่ตามมาสมทบบอกกับพี่ชายแบบนั้น
ฉันขยับตัวไปใกล้ๆ พี่ชาย แต่ถูกพี่ชายของฉันผลักออกมา “ไปนั่งกับพ่อแม่ อย่ามาเกะกะแถวนี้”
ฉันหน้างอ มองพี่ชายตัวเองตาขวาง
“อย่าดุน้องเลย” พี่ชายคนใหม่ปรามพี่ชายฉันเบาๆ
“ฉันเคยบอกแล้วไง อย่าตามใจยัยเด็กนี่ เดี๋ยวนายจะเป็นฝ่ายเสียใจเอง” เมฆาบอกลุค ศูนย์รวมความรักของคนทั้งบ้านที่ทำให้เขากลายเป็นคนนอก
“อย่าอิจฉาน้อง” ลุคกระซิบบอกเพื่อน แล้วก็หันมาฝืนยิ้มให้น้องสาวของเพื่อน
“รสาไปนั่งกับแม่” เป็นแม่ฉันเองที่ตัดสินใจให้ ฉันเดินตามแม่ไป คอยแอบมองพี่ชายคนใหม่ และหาจังหวะที่จะเอาซองที่ฉันเตรียมไว้ไปให้เขา
ท่ามกลางบรรยากาศที่เศร้าสร้อย ฉันแอบมองพี่ชายคนใหม่บ่อยๆ หัวไหล่เขางองุ้ม ใต้ดวงตามีรอยคล้ำ พี่ชายคงอดนอน หรือไม่ก็นอนไม่พอ แววตาของเขาก็ไม่สดใสเหมือนเก่า