บทย่อ
ความรักของฉันจบลงตอนอายุสิบสี่ปี ความฝันของฉันพังทลายแบบไม่เหลือชิ้นดี อนาคตของฉันมืดหม่น และเปลี่ยวเหงาสิ้นเชิง ท้องฟ้าที่เคยเห็นหม่น มืดลงแบบไม่น่าเชื่อ เพียงเพราะ...ผู้ชายที่ฉันแอบชอบมาเกือบสองปีเต็ม มีคนสนิทข้างกาย หัวใจของฉันร้าวราน สิ้นหวังและหดหู่ ฉันร่ำไห้ไม่ต่างอะไรกับคนเสียสติ บอกใครไม่ได้สักคนเรื่องสาเหตุที่ทำให้ฉันฟูมฟายเช่นนั้น หลังจากตั้งสติได้ ฉันก็ตั้งใจ...จากนี้ไป ฉันจะไม่มีทางเสียน้ำตา หรือหลงรักใครอีก ฉันคงไม่มีวันมีความสุขอีกแล้ว ฉันฝังความทรงจำนั่นไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด
ตอนที่1.วันที่ฉันย้ายบ้าน
ตอนที่1.วันที่ฉันย้ายบ้าน
ตอนอายุสิบสามปีที่บ้านฉันเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สาเหตุหลักๆ ก็เกิดขึ้นเพราะฉันนั่นแหละ คงเพราะพ่อกับแม่มีฉันตอนที่อายุของทั้งสองท่านเยอะแล้ว ฉันเป็นลูกสาวที่มีอายุห่างจากพี่ชายเกือบแปดปีเต็ม ฉันถูกประคบประหงมอย่างดี เป็นเพราะตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้ สุขภาพของฉันไม่ดีเลย ฉันมีโรคประจำตัวพ่อแม่เลยคิดหนัก การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ๆ แบบนี้ต่อไป สุขภาพของฉันคงไม่มีทางดีขึ้น
พ่อบอกฉัน หลังจากทบทวนความคิดและตกผลึกอย่างชัดเจน
“รสา พ่อกับแม่ตกลงกันแล้ว พวกเราทั้งหมดจะย้ายบ้านไปอยู่ในที่ที่ดีกว่านี้” ฉันไม่เข้าใจนักหรอก คงเพราะฉันยังเด็กเลยตื่นเต้นทุกครั้งที่เกิดความเปลี่ยนแปง แต่คนที่ไม่สบอารมณ์อย่างหนักคือพี่ชายวัยรุ่นของฉัน
ทันทีที่รู้เรื่อง พี่ชายฉันโวยวายเหมือนใกล้ถึงวันโลกแตก “อะไรกันครับพ่อ!! ทำไมผมต้องย้ายไปด้วย ยัยเด็กนั่นเป็นตัวถ่วงของผมชัดๆ”
ฉันนั่งมองท่าทีเกรี้ยวกราดของพี่ชายตาปริบๆ
ฉันทักท้วงอะไรไม่ได้ เพราะฉันเองก็ยังไม่รู้ความหมายของคำว่า ‘ย้าย’ ดีเท่าไหร่
“เมฆ ลูกจะยังไม่ย้ายตอนนี้ก็ได้นะ แต่ต่อจากนี้ลูกต้องดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้พ่อแม่เป็นห่วง” พ่อที่เข้าใจเหตุผลของลูกชายที่เป็นหนุ่มเต็มตัวแล้ว เมฆาไม่ชอบใจนักเพราะบ้านที่กำลังจะไปอยู่แถบชานเมือง อากาศและควันพิษมีไม่เยอะเหมือนที่อยู่ปัจจุบัน และนั่นอาจทำให้ลูกสาวคนเล็กของบ้านสุขภาพดีขึ้น
“แต่...ถ้าลูกเปลี่ยนใจอยากย้ายตามไปด้วย ที่นั่นก็มีวิทยา’ ลัย ดีๆ เหมือนกันนะ” มารดาที่ใจดีที่สุดในโลกอธิบายเสียงนิ่ม
“ผมขอคิดก่อน” เมฆาหันไปแยกเขี้ยวใส่น้องสาว หลังพายุอารมณ์สงบลงแล้ว เขาชอบชีวิตในเมืองก็จริง แต่การอยู่ห่างครอบครัวอาจไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
“พ่อมีเวลาให้แค่สองอาทิตย์นะเมฆ” ครามที่ฟังเงียบๆ หลังปล่อยให้บุตรชายระบายความคับข้องในใจออกมาจนหมด
“โห!!” เมฆาทิ้งตัวลงนั่ง ยกมือกุมขมับ
“บ้านที่นั่นสร้างเสร็จแล้ว หากแกไปช้า แกก็จะไม่มีทางได้เลือกห้องนอนของตัวเอง” ครามไม่ได้พูดเล่น เขาให้สิทธิ์ของลูกทั้งสองคนในการเลือกห้องนอนก่อน แต่หากบุตรชายยังมัวโอ้เอ้ เขาจะต้องยอมรับสิ่งที่ตามมา
“ก็ได้ครับ ผมไปพร้อมกับพ่อแม่นั่นแหละ” เมฆาตอบเสียงกระแทก “ยัยตัววุ่นวาย!!” แล้วก็หันไปตะคอกใส่น้องสาวก่อนจะกระแทกเท้าเดินขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน
ริสาหันไปปลอบใจบุตรสาว “อย่าคิดมากนะรสา ที่นั่นต้องเหมาะกับลูกแน่ๆ ลูกจะมีพื้นที่ในการวิ่งเล่น มีทุ่งหญ้าให้วิ่งไล่จับแมลงปอ” ฉันเบิกตาโต กิจกรรมที่มารดาบอก ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิตฉัน ฉันไม่ค่อยให้รับอนุญาตให้ทำแบบนั้นได้ ฉันเป็นภูมิแพ้ชนิดรุนแรง แค่สัมผัสฝุ่นจำนวนเยอะๆ ฉันก็ล้มหมอนนอนเสื่อแล้ว เรื่องวิ่งเล่นเลยเป็นกิจกรรมเดียวที่ฉันทำได้แค่ฝันถึง
“แม่แน่ใจนะคะว่ารสาทำแบบนั้นได้?”
ฉันพึมพำถาม ดวงตายังไหวระริก
พ่อยกมือลูบไปมาบนศีรษะฉัน “พ่อจะสอนรสาปั่นจักรยานเองนะลูก” ฉันแหงนมองหน้าพ่อแบบไม่อยากเชื่อหู ฉันที่สามวันดี สี่วันไข้จะทำกิจกรรมเหมือนที่พ่อพูดได้ยังไง นั่นเป็นข้อห้ามของฉันเชียวนะ
“รสาทำแบบนั้นได้ใช่ไหมคะ?” ฉันถามซ้ำ
พ่อกับแม่ยิ้มพร้อมกัน “ได้สิ” พ่อตอบแล้วก็ขยี้ผมฉันแรงๆ ฉันไม่โกรธ คงเพราะกำลังดีใจจนลืมความขัดใจเล็กๆ นั่นก็ได้
ฉันจำวันที่ย้ายบ้านได้ดี ฉันตื่นแต่เช้า พยายามช่วยแม่ให้ได้มากที่สุด แต่ก็ไม่วายโดนพี่ชายกระแหนะกระแหน “อย่าจุ้นจ้านเลยน่า หากเป็นอะไรไปอีก วันนี้คงไม่ต้องไปบ้านใหม่กันละ!!” นั่นคือความเป็นห่วงจากพี่ชาย แม้จะกระด้างไปสักนิด แต่ฉันก็ยิ้มรับด้วยความยินดี
ของชิ้นเล็กๆ ที่ฉันสามารถยกได้โดยไม่เหนื่อยมาก ฉันพยายามช่วยในแบบที่ฉันทำได้ และพยายามไม่เก็บเสียงบ่นของพี่ชายมาเก็บไว้ในใจ ในที่สุดช่วงเช้าที่วุ่นวายก็จบลง บ้านที่เคยคับแคบ ดูกว้างขวางแปลกตา คงเพราะเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมด ถูกย้ายไปอยู่บนรถบรรทุกคันใหญ่แล้วก็ได้