ตอนที่1.วันที่ฉันย้ายบ้าน..
ของทุกชิ้นในบ้าน แม่ของฉันจัดเก็บอย่างดี มันเป็นความทรงจำที่มีค่าสำหรับคนในครอบครัวฉัน ไม่ว่าจะกรอบรูปบานเล็กๆ ที่แขวนอยู่ข้างบันไดทางเดินขึ้นชั้นสอง หรือแม้แต่กระถางต้นไม้ที่เกิดมาฉันก็เห็นมันตั้งอยู่ที่โถงหน้าบ้านแล้ว
ฉันมองภาพบ้านของฉันผ่านกระจกด้านหลังรถยนต์ ฉันจะจำความอบอุ่นในบ้านหลังนี้ไว้ และจะไม่มีทางลืม
พ่อฉันคุยกับใครบางคนที่ขับรถยนต์คันใหญ่เข้ามาหาตอนสายๆ ฉันมองกุญแจบ้านในมือของพ่อ ตอนที่พ่อหย่อนใส่มือชายผู้นั้น น้ำตาฉันไหลออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีเสียงสะอื้น มีแค่เกล็ดน้ำตาที่หยดเป็นสาย
แม่เอื้อมมือมาโยกศีรษะฉัน “ยัยขี้แย!!” คนที่หลับตาเอนตัวพิงพนักเบาะตั้งแต่เปิดประตูรถยนต์ขึ้นมานั่งคู่กับฉันที่เบาะด้านหลังพึมพำเบาๆ
ฉันหยิบหมอนอิงที่วางอยู่ข้างตัวโยนใส่หน้าพี่ชาย
“อะไรน่ะ ยัยเปี๊ยกนี่วอนแล้วไหม!!” เสียงพี่ชายฉันโวยลั่นรถยนต์ จนแม่ต้องหันมาปราม
“เมฆ อย่าเสียงดังใส่น้อง” แววตาแม่บอกว่าเอาจริง พี่ชายฉันเลยลดท่าทีลง เขาหลุบเปลือกตาทำท่าจะนอนต่อ
“ไปกันเถอะ” พ่อขึ้นรถคนสุดท้าย เสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ดังแข่งกับน้ำตาของฉันที่ไหลปรี่ออกมาอีกครั้ง ฉันทิ้งตัวลงนั่ง ยกหมอนอิงมากอดไว้ และร้องไห้เงียบๆ
คนที่หลับตานิ่งๆ ยื่นอะไรบางอย่างให้ฉัน
ฉันมองมือที่กำแน่นตรงหน้า ตอนที่พี่ชายแบมือ น้ำตาฉันก็หยุดไหลไปเองดื้อๆ
“ไม่ได้หาเรื่องแกล้งรสาใช่ไหมคะ?”
ฉันกลั้นใจถาม ไม่กล้าแม้แต่จะเอื้อมมือไปหยิบอมยิ้มอันใหญ่ที่วางอยู่บนฝ่ามือพี่ชายเลย
“กินๆ ไปเถอะน่า เสียงกระซิกๆ ของเธอน่ารำคาญจะตาย” เมฆาพึมพำตอบ
ฉันยกมือปาดคราบน้ำตา ตะครุบอมยิ้มอันนั้นไว้ และรีบแกะพลาสติกที่ห่อไว้แล้วยัดใส่ปากทันที เสียงสูดจมูกของฉันคงทำให้พี่ชายใจร้ายรำคาญอีก กระดาษทิชชูขยุ้มใหญ่ ถูกยื่นมาจากด้านข้างพร้อมกับเสียงแข็งๆ “สั่งขี้มูกเสียสิ ฉันจะนอน รำคาญ!!”
ฉันหยิบทิชชู่ขยุ้มนั้นมาและสั่งขี้มูกแรงๆ
“จะอ้วก!!” เสียงบ่นตามมาติดๆ แต่ฉันไม่สนใจแล้ว ฉันกอดหมอนอิงเอนตัวพิงเบาะ ความหวานจากอมยิ้มแผ่อยู่ในอุ้งปาก ช่วยให้ความเศร้าในใจฉันลดลงได้อย่างเหลือเชื่อ
ครามมองบุตรสาวบุตรชายที่หลับสนิทผ่านกระจกมองหลัง
ศีรษะของบุตรสาววางอยู่บนหน้าตักเมฆา มือของบุตรชายพาดอยู่บนหัวไหล่บุตรสาว คงเพราะวัยที่ห่างกัน แถมเมฆาเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว เขาเลยวางตัวไม่ถูกกับน้องสาวที่ยังเป็นแค่เด็กน้อย แต่ทั้งสองคนก็รักกันดี แม้จะทะเลาะกันเป็นส่วนใหญ่
“หมดฤทธิ์แล้ว” ริสาพึมพำ
อ่อนใจกับพฤติกรรมของบุตรชายคนโต แต่ก็ไม่ได้เคี่ยวเข็นมาก เพราะเมฆากำลังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ นางพยายามวางตัวเป็นกลาง และอธิบายให้บุตรชายเข้าใจความจำเป็นของครอบครัว
เพราะหากยังฝืนดื้อดึงเหมือนเดิม คนที่รับผลกระทบมากที่สุดคือบุตรสาวขี้โรคตัวน้อยของตนเอง
อากาศกับพื้นที่ใหม่ที่ริสากับครามตั้งใจเลือก น่าจะทำให้สุขภาพของบุตรสาวดีขึ้น รสาแพ้ฝุ่นอย่างหนัก อาการเบื้องต้นคือผืนขึ้นทั้งตัว จากนั้นก็ค่อยๆ หายใจไม่ออก อาการหนักๆ เลยคือช็อก จนต้องหามส่งโรงพยาบาล
นั่นเป็นที่มาที่ทำให้เกิดการตัดสินใจ
มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานเป็นครั้งแรก ฉันหลับๆ ตื่นๆ มาตลอดทาง พ่อแวะให้เข้าห้องน้ำตามปั๊มหลายครั้งจนฉันเริ่มเบื่อ แต่แล้ว พ่อก็เปรยขึ้นมาลอยๆ ตอนที่ฉันตื่นมาสักพักและกำลังมองข้างทางด้วยความสนใจ ฉันไม่ค่อยได้เห็นต้นไม้ใบหญ้าเยอะขนาดนี้มาก่อน สองข้างทางที่รถยนต์ที่พ่อขับวิ่งผ่าน เต็มไปด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ฉันมองเพลินจนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้
“ใกล้ถึงบ้านเราแล้ว รสาตื่นหรือยังลูก” ฉันผุดลุกขึ้นนั่ง เกาะพนักเบาะด้านหลังของพ่อและยื่นหน้าไปถาม
“จริงๆ ใช่ไหมคะพ่อ รสาเบื่อจะแย่แล้ว”
แม่หัวเราะและเป็นคนตอบแทนพ่อเสียเอง “นั่นไง รสาเห็นรถบรรทุกสองคันนั่นไหม?” แม่ชี้ไปที่ไกลๆ มีรถบรรทุกคันใหญ่จอดอยู่บนพื้นที่หน้าบ้าน ปากทางเข้าบ้านมีตึกชั้นเดียวสีขาวตั้งอยู่ติดริมถนน
“ทำไมเขามาถึงก่อนเราคะแม่ เขารู้ได้ยังไงว่ามาถูกที่” ฉันถามแม่ด้วยท่าทางงงงัน