ตอนที่ 3 : ขอพระราชทานสมรส
ตอนที่
[2]
ขอพระราชทานสมรส
“ข้ามันน่าหงุดหงิดมากใช่หรือไม่”
เพียงแค่คนตรงหน้าพูดขึ้น เธอก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือ ซือเฟยฟา!!
“ใช่! น่าหงุดมาก ทำไมเธอต้องทำแบบนั้นด้วย หน้าตาก็ดี ทำไมไม่หาผู้ชายใหม่ไปเลย ไปทำลายอนาคตตัวเองทำไม!”
ยิ่งพูดยิ่งอารมณ์ขึ้น และเธอก็คิดว่าซือเฟยฟาก็คงจะไม่พอใจเช่นกัน แต่อีกฝ่ายกลับยู่หน้า
“ทุกอย่างไม่ได้เป็นแบบที่เจ้าคิดหรอกนะ มานี่เถิดข้าจะพาไปดูบางอย่าง”
ทั้งยังกวักมือเรียกเธอ
“อะไรจะพาไปดูอะไรอีก” แม้จะหงุดหงิดแต่เธอยินยอมเดินตามไปโดยง่าย
“ความจริงอย่างไรล่ะ” ซือเฟยฟาว่าแล้วก็ดีดนิ้วทันที
เป๊าะ!
ทันใดนั้นโซฟาก็รับรู้ได้ถึงแสงจ้าที่กระทบตาของเธอทันที มันสว่างมากจนเริ่มมองไม่เห็นรอบข้าง เธอจึงรีบกวาดมือออกไปเพื่อที่จะยึดจับซือเฟยฟาไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถจับได้ทั้งยังมองอย่างไรก็มองไม่เห็น แต่ไม่นานแสงจ้าที่มีมากมายก็หายไปอย่างรวดเร็ว และเบื้องหน้าของเธอก็ปรากฏเป็นแคว้นโบราณแคว้นหนึ่งขึ้นมาแทน
นี่มันอะไรกัน!
“นี่คือแคว้นอี้”
ซือเฟยฟาเอ่ยขึ้น ยามนี้เธอมองเห็นอีกฝ่ายแล้ว และเห็นได้อย่างชัดเจนอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่าย คือผู้หญิงที่สวย สวยแบบส่งเข้าประกวดนางงามได้เลย แต่ไม่ใช่นางงามสายหวานนะ แต่เป็นนางงามสายแซ่บต่างหากล่ะ ทรวดทรงองค์เอวก็ครบเครื่อง ผิวพรรณก็ไร้ที่ติ ขาวเนียนละเอียดมาก แต่ติดอยู่แต่งหน้าหนาไปหน่อย แล้วก็ชุดสีฉูดฉาดเกินไป แต่อย่างไรคิดแล้วก็เสียดาย.....
“ต่อไปข้าจะไม่กล่าวอันใดแล้ว ให้เจ้าได้มองเห็นทุกอย่างกับตาตนเองดีกว่า”
จากนั้นภาพทุกอย่างจึงเปลี่ยนไปเป็นภาพของสตรีสองคนที่อยู่ในร้านขายผ้าแห่งหนึ่ง ผู้หนึ่งแน่นอนคือซือเฟยฟา เพราะทั้งหน้าขาวกับชุดหลากสีขนาดนั้น... อีกผู้หนึ่งที่ตัวติดกันทั้งนั้นแม้จะดูงามแต่ก็ถือว่าจืดชืดไม่น้อยเมื่อยืนข้างกันกับซือเฟยฟา ไหนจะรูปร่างอันบอบบางนั่น คงเป็นสือหนิงอ้ายหรือท่านหญิงเจียวลู่ โดยแน่แท้
“เอาผ้าออกมาให้หมด ข้าจะเลือกเอง!!” ซือเฟยฟาอยู่ในอาการหงุดหงิดเป็นอย่างมาก
เสียงตวาดลั่นทั้งยังชี้นิ้วไปที่พนักงานของร้านอย่างโกรธเกรี้ยว
“ฟาเออร์เจ้าใจเย็น ๆ นะ” สือหนิงอ้ายกระตุกชายเสื้อของสหายอย่างหวาดกลัว
“เจ้าจะกลัวไปไย หนิงอ้าย พวกมันดูถูกเจ้าก็เท่ากับดูถูกข้า” หลังจากกล่าวสหายเสร็จซือเฟยฟาก็หันหน้ากลับไปที่พนักงานของร้านที่กำลังก้มหัวอยู่
“ว่าอย่างไร ไปเอาผ้ามาให้หมด แล้วก็เรียกผู้ดูแลร้านออกมาด้วย กล้าดีอย่างไรมาดูถูกสหายข้า”
“คุณหนูรอง ให้อภัยพวกเราด้วยเจ้าค่ะ พวกเราไม่รู้ว่าคุณหนูท่านนี้เป็นสหายกับคุณหนู หาไม่แล้วพวกเขาคงต้อนรับเป็นอย่างดี” ซือเฟยฟาเชิดหน้าขึ้น “ก็ได้ ครั้งนี้ข้าจะให้อภัยพวกเจ้า หากครั้งหน้ามีอีก พวกเจ้าไม่รอดแน่ เอาล่ะ ไปเอาชุดที่งามที่สุดมาให้สหายข้าสิบชุด ใส่หีบห่อให้เรียบร้อยแล้วส่งไปที่จวนตระกูลสือด้วย” เหล่าพนักงานได้เช่นนั้นก็ก้มหัวขอบคุณอย่างดีใจแต่ในใจก็รู้สึกยิ้มเยาะ ซือเฟยฟาก็เป็นเช่นนี้ ดีแต่ใช้อารมณ์แต่ก็จบลงโดยง่าย สติปัญหาอ่อนด้อยมิสมกับเป็นบุตรีตระกูลใหญ่ แต่ถึงว่าจะคิดเช่นนั้นก็พากันรีบกุลีกุจอไปทำตามคำสั่งของซือเฟยฟาทันที
ด้านซือเฟยฟาก็จับแขนของสือหนิงอ้ายออกจากร้านไปทันที
ภาพที่เห็นตรงหน้านี้ทำให้โซฟาขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ นี่มันอันใดกัน มิใช่ว่าซือเฟยฟาร้ายกาจต่อสือหนิงอ้ายมิใช่หรือ แต่เมื่อครู่เธอเห็นได้ชัดเลยว่าซือเฟยฟากำลังปกป้องสหายที่กำลังโดนพนักงานของร้านดูถูก ด้วยคิดว่าไม่มีปัญหาซื้อชุดของร้านได้
จากนั้นก็มีอีกหลาย ๆ เหตุการณ์ที่เปลี่ยนไปมา ทำให้โซฟาเริ่มแน่ใจบางอย่างมากขึ้น แต่ก่อนที่จะไปพูดถึงเรื่องอื่น ต้องพูดเรื่องของซือเฟยฟาก่อน ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่งามมากแท้ ๆ แต่กลับเป็นคนงามที่ไร้สมอง โง่เขลาเบาปัญญา ทั้งยังเจ้าอารมณ์ ด้วยทั้งหมดทั้งมวลนี้ ทำให้หลาย ๆ ครั้งอีกฝ่ายกลายเป็นตัวตลกในวงสังคม พวกเขานินทานางทั้งต่อหน้าและลับหลัง แต่ก็ยังมีความยับยั้งบ้างเล็กน้อยด้วยอีกฝ่ายเป็นถึงบุตรของแม่ทัพใหญ่ แต่ก็เป็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จึงอาจจะกล่าวได้ว่า ความงามที่ซือเฟยฟามีนั้น ช่างเป็นความงามที่ไร้ประโยชน์โดยแท้
และสิ่งหนึ่งที่เธอมั่นใจคือ สือหนิงอ้าย หรือท่านหญิงเจียวลู่คนนั้น มีบางอย่างที่แปลก ๆ ในหลาย ๆ ครั้งที่ซือเฟยฟากลายเป็นตัวตลกของผู้คน ส่วนหนึ่งก็ล้วนมากจากสือหนิงอ้ายคนนั้นที่เป็นต้นเหตุ
เวลาผ่านไปทุกอย่างยิ่งแจ่มชัด ซือเฟยฟาร้ายต่อคนอื่น แต่ดีต่อสหายอย่างสือหนิงอ้ายมาก ไม่ว่าจะไปร่วมงานสังคมที่ใดก็จะหนีบสหายคนสนิทไปด้วย ด้วยสถานะบิดาของสือหนิงอ้ายเป็นขุนนางธรรมดา ยากนักที่จะมีคนเชิญบุตรสาวอย่างสือหนิงอ้ายไปร่วมงาน ซือเฟยฟาไม่อยากให้สหายสนิทต้องน้อยหน้าผู้ใด จึงได้พาอีกฝ่ายไปด้วยในทุก ๆ ที่ ทั้งยังจัดแจงเสื้อผ้าเครื่องประดับให้แบบจัดเต็มอีกด้วย
นี่มันสุดยอดเพื่อนดีเด่นเลย!
ว่าแล้วก็คิดถึงเพื่อนของตน ยัยนั่นแม้จะแปลกแต่ก็เป็นเพื่อนที่ดีไม่น้อย
ภาพตรงหน้าเธอเปลี่ยนไปอีกครั้ง กลายเป็นสถานที่ใหญ่โตโอ่อ่า เบื้องหน้ามีคนที่มีความสง่างาม หน้าตาก็หล่อเหลาแม้จะเป็นวัยกลางคน ทั้งท่าทางยังดูใจดี แต่อีกฝ่ายนั่งอยู่บนบัลลังก์สีทอง เดี๋ยวนะ! อย่าบอกนะว่านั่นคือ..
ฮ่องเต้!!
โอ้ว ต้องใช่แน่ ๆ
นี่เธอได้เจอฮ่องเต้ตัวเป็น ๆ เลยเหรอ
“เสนาบดีโจวมีอะไรจะกล่าวกับเราเช่นนั้นหรือ”
ไม่ปล่อยให้เธอต้องตกใจนาน คนตรงหน้าก็พูดขึ้น แต่ว่าไม่ได้พูดกับเธอ แต่พูดกับอีกสองคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ต่างหาก
แต่เมื่อกี้เขาพูดอะไรนะ เสนาบดีโจวหรือ อย่าบอกนะว่านี่คือพ่อของโจววั่งซู “ฝ่าบาท ที่ฝ่าบาทเคยกล่าวว่า หากกระหม่อมนึกได้แล้วว่าอยากจะได้ความดีความชอบอันใดเรื่องที่จัดการแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำท่วมได้ก็ให้รีบบอกพระองค์ ที่จริงแล้วกระหม่อมไม่ต้องการสิ่งใดและไม่คิดจะขอมันจากฝ่าบาท แต่ไม่นานมานี้กลับมีเรื่องที่จำเป็นจะต้องมาเอ่ยเรื่องนี้กับฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องใดหรือ”
“บุตรชายของกระหม่อมไปสะดุดห้วงรักสตรีผู้หนึ่งเข้า เลยอยากจะขอให้ฝ่าบาททรงเมตตาพระราชทานสมรสให้พ่ะย่ะค่ะ”
“ที่แท้ก็เรื่องนี้ หากเจ้ามีใจให้กับผู้ใด เหตุใดไม่ยกสินสอดไปสู่ขอนางเลยเล่า มัวแต่รอเรา มันจะไม่ทันการณ์นะ” คราวนี้ฮ่องเต้หันไปกล่าวกับคนที่อยู่ถัดไปจากเสนาบดีโจว
“เพราะสตรีผู้นั้นมิใช่สตรีธรรมดาและครอบครัวนางก็ไม่ธรรมดาพ่ะย่ะค่ะ” ทันทีที่เสียงนุ่มนั่นเอ่ยขึ้น โซฟาก็รีบเดินมาอีกฝั่งเพื่อมาดูหน้าผู้พูด หากคนนั้นคือเสนาบดีโจว นี่ก็คงจะเป็นโจววั่งซู!
หล่อเหลาไม่น้อย ถึงว่ายัยซือเฟยฟาฝังใจขนาดนี้ ว่าแต่...เขามาขอพระราชทานสมรสกับใคร
“สตรีผู้นั้นเป็นผู้ใดหรือ”
ไม่ปล่อยให้ความสงสัยเกาะกุมจิตใจนาน ฮ่องเต้ก็ถามแทนเธอแล้ว
“สตรีผู้นั้นคือ ซือเฟยฟา บุตรสาวของท่านแม่ทัพซือพ่ะย่ะค่ะ”
!!!