บทที่ 3 รอยเล็บแห่งการต้อนรับ (2/2)
“ปล่อยข้า ข้าเจ็บหู!” อวี่ทู่ยังคงดิ้นกระแด่วภายในอุ้งมือของเยว่เล่อ
“ไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะหลอกข้าได้เป็นครั้งที่สอง” เยว่เล่อเบือนหน้าหนี
“เอาล่ะ ๆ มาคุยกันดี ๆ จะดีกว่า” เมื่อเล่นบทร้ายไม่ได้ผล อวี่ทู่จึงจำใจพูดจาดี ๆ
“ว่ามาสิ ข้ารอคอยเจ้าพูดอยู่” เยว่เล่อยังคงสงบนิ่ง
“เจ้าเป็นผู้เฒ่าจันทราจริงหรือ” อวี่ทู่ถามด้วยความฉงน ก่อนจะรอฟังคำตอบให้แน่ใจอีกครั้ง
“อืม”
“ไม่เห็นเหมือนที่ได้ยินมาเลยเล่า” อวี่ทู่ในร่างกระต่ายบุ้ยหน้าไม่เข้าใจ
“แล้วเจ้าเคยได้ยินมาว่าอย่างไร บอกข้ามา” เยว่เล่อยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้ ๆ กับอวี่ทู่
“ผู้เฒ่าจันทราที่ข้าเคยได้ยิน ต้อง...แก่ชรา หนังเหี่ยวย่นไปทั้งตัว เส้นผมขาวโพลน หลังค่อมจนต้องใช้ไม่เท้าค้ำยัน แต่เหตุใด...”
อวี่ทู่ลากเสียงยาว ก่อนจะใช้สายตาสำรวจผู้เฒ่าจันทราเบื้องหน้าโดยละเอียดอีกครั้ง ใบหน้าได้รูปดูเกลี้ยงเกลาไร้ตอหนวดที่ควรจะยาวรุงรังดั่งที่เคยได้ยิน หางคิ้วเรียวโก่งแต่ส่วนโคนโค้งมนเข้ากับดวงตาคมประดุจเหยี่ยว แพขนตางอนงามดุจขนนกยิ่งส่งให้ดวงตาสีสวยราวกับอัญมนีสีฟ้าครามดูโดดเด่น จมูกโด่งเป็นสันตั้งชันอย่างงดงามควบคู่ไปกับริมฝีปากหยักสีแดงระเรื่อ
อีกทั้งยังมีรูปร่างสูงโปร่งราวแปดฉื่อ [1] สวมใส่อาภรณ์สีขาวแกมผ้าแพรไหมสีน้ำเงิน เค้าโครงภายนอกดูสมส่วน เรือนผมสีเงินยวง ปลายเส้นผมเป็นสีฟ้าคราม ครึ่งบนถูกขมวดเป็นมวยสวมตกแต่งด้วยกวานทองคำประจำตำแหน่งเทพสวรรค์ ไม่ได้ส่งให้เขาเป็นผู้เฒ่าแก่ชราเลยแม้แต่น้อย กลับรูปงามจนน่าหลงใหลเมื่อได้ยลโฉมใกล้ ๆ แบบตั้งใจดูเช่นนี้
เอื้อก
“แต่เหตุใด...” เยว่เล่อทวนประโยคที่อวี่ทู่พูดค้างเอาไว้ ก่อนจะเห็นใบหน้าขนของนางเหม่อลอยแปลกไปพิกล
“หล่อนะสิ ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดงดงามเช่นท่านมาก่อน”
ความงดงามดั่งสวรรค์ปั้นแต่งของผู้เฒ่าจันทราเป็นเหมือนมนต์สะกดที่ทำให้กระต่ายน้อยเคลิบเคลิ้มไปจนลืมความเจ็บที่เขากอบกุมใบหูยาวทั้งสองข้างของนางเอาไว้
“อ่อ เช่นนั้นคงเป็นเรื่องปกติ บนพิภพสวรรค์ข้าล้วนแล้วแต่ได้ยินจนชินหู” เยว่เล่อส่ายใบหน้าเมื่อสิ่งที่นางพูดไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด
“หลงตัวเองจริง ๆ จะปล่อยข้าได้เมื่อไหร่ หูของข้าจะขาดอยู่แล้ว” อวี่ทู่กลับมาเป็นปกติ หลังจากที่เทพตรงหน้าหลงในรูปลักษณ์ของตัวเองจนเกินหน้าเกินตา
“กระต่ายเจ้าเล่ห์เช่นเจ้า ข้าไม่อาจปล่อยมือจนกว่าจะถึงวังจันทราของข้า” เยว่เล่อบอกกับอวี่ทู่ พร้อมกับเดินเรื่อย ๆ ไปตามแนวชายป่า
“ท่านจะจับข้าขึ้นไปบนดวงจันทร์ให้ได้เลยงั้นสิ” อวี่ทู่เปรยถามด้วยเสียงอ่อน
“ข้าปฏิญานต่อตัวเองเอาไว้แล้ว กระต่ายตัวแรกที่ข้าจับได้ต้องเป็นเซียนรับใช้ของข้า” เขาพยายามที่จะอธิบาย
“แต่ข้าเป็นกระต่ายเกียจคร้านที่สุดในเผ่า ข้าว่าท่านเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ” อวี่ทู่กล่อมเกลา เพื่อหวังให้ผู้เฒ่าจันทราปล่อยนางไป
“ของแบบนี้มันฝึกฝนกันได้ เอาล่ะเงียบปากจะดีกว่าข้าเสียเวลามานานพอแล้ว อีกไม่นานก็เป็นยามรุ่งอรุณแล้ว ข้าควรจะได้พักผ่อนเสียที” เยว่เล่อยังคงกำใบหูของอวี่ทู่เอาไว้แน่น
“ซวยชะมัด! ว่าแต่หากท่านพาข้าไปเช่นนี้ ท่านพ่อ ท่านแม่ข้าต้องเสียใจเป็นแน่ ฮือ ข้าขออภัยที่ไม่อาจตอบแทนบุญคุณพวกท่าน เพราะข้าถูกเทพใจทรามบังคับให้เป็นเซียนรับใช้โดยไม่เต็มใจ”
กระต่ายตรงหน้าทำท่าทางประดุจคนบ้า ทั้งสบถคำหยาบ ทั้งตีหน้าเศร้าร้องไห้ จนเขาแทบกุมขมับ นี่ขนาดยังไม่ถึงสวรรค์เขายังรู้สึกปั่นป่วนเช่นนี้ ‘หวังว่าสวรรค์จะเข้าข้างข้าบ้าง’
“อวี่ทู่ หยุดตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ ข้ารับกระต่ายในเผ่าของเจ้ามานับพันปี เกรงว่าพ่อแม่ของเจ้าคงจะรีบประเคนเจ้าให้กับข้า หากพวกเขารู้เรื่องนี้ อย่าหลอกข้าเสียให้ยาก ข้าไม่ได้หน้าโง่!”
“โง่สักหน่อย ไม่ได้เลยหรือ ถือว่าข้าขอร้อง” อวี่ทู่พยายามที่จะร้องขออย่างสุดกำลัง
“ไม่ได้!”
เฮ้อ มีอย่างที่ไหนที่เซียนรับใช้จะขอให้ผู้เป็นนายแกล้งโง่ เยว่เล่อส่ายใบหน้าเอือมระอา ‘เป็นไงเป็นกัน’ ว่าแล้วเขาก็มุ่งหน้าสู่วังจันทราด้วยมือที่ดึงรั้งหูกระต่ายจอมซนเอาไว้โดยไม่สนใจเสียงที่โวยวายของนาง
“ดวงจันทร์ที่ท่านรักจะต้องปั่นป่วนด้วยน้ำมือข้าไม่เชื่อก็คอยดู!”
[1] แปดฉื่อ ประมาณ 184 เซ็นติเมตร