บทที่ 2 ความลับดวงจันทรา (2/2)
เยว่เล่อยื่นฝ่ามือออกจากลำตัว กลุ่มแสงสีเหลืองก็สว่างจ้าอยู่กลางฝ่ามือ ก่อนที่แสงเหล่านั้นจะเลือนหายไปจนเหลือเพียงสุราชั้นดีที่บรรจุอยู่ภายในขวดทรงสูงที่ทำจากหยกขาว
เขากรอกสุราจากขวดหยกลงคอราวกับกระหาย แท้จริงแล้วเทพเช่นเขาหาได้รู้สึกหิวโหยอาหารไม่ เพียงแต่ของเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลมาจากพิภพมนุษย์ หากผู้ใดได้ดื่มสุราไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นเทพหรือเซียน แม้กระทั่งปีศาจมากอิทธิฤทธิ์ก็จะรู้สึกผ่อนคลายสบายอารมณ์ไปกับการร่ำสุรา
สุราเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีค่ายิ่งกว่าของวิเศษตามที่มนุษย์ได้กล่าวเอาไว้ เพียงแค่ได้ดื่มจิตใจที่เศร้าหมอง ทุกข์หนักก็ค่อย ๆ ผ่อนคลาย
เยว่เล่อกระดกมันลงคอขวดแล้วขวดเหล่า จนนัยน์ตาคู่สวยฉ่ำวาวหวานหยดราวกับอัญมณีต้องแสงจันทรา
‘ข้าเกียจคร้านยิ่งนัก ที่ต้องสรรหากระต่ายตัวใหม่’ สีหน้าที่เคยเรียบเฉยจำใจแค่นยิ้มพอเป็นพิธี ผู้เฒ่าจันทราขบคิดพร้อมกับร่ำสุราทอดสายตามองดวงจันทร์ที่เขารักยิ่ง
บนนั้นยังคงปรากฏเงาของอี้เฉินที่กำลังตำยาด้วยความขยัน แม้ร่างกายกระต่ายเฒ่าจะไม่เอื้ออำนวยอีกต่อไป การเลื่อนขั้นเป็นเทพต้องผ่านการแบกรับทัณฑ์อัสนีสิบแปดสาย แต่อี้เฉินรับได้เพียงห้าสายเท่านั้น แม้จะลองอีกหลายต่อหลายครั้งแต่อี้เฉินก็ไม่อาจผ่านด่านทัณฑ์อัสนี และทุกครั้งที่เข้าทดสอบร่างกายของเขาก็จะเสื่อมโทรมถดถอยลงจนไม่อาจดื้อรั้นที่จะทดสอบได้อีกต่อไป หากรั้งที่จะฝืนสายอัสนีอาจพรากดวงจิตให้แตกดับไปชั่วกาลนาน
‘เพื่อเป็นการปลดปล่อยเจ้า ข้ายินดีจะลงไปหากระต่ายตัวใหม่มาแทนเจ้า อี้เฉิน เซียนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของข้า’
หากแต่เขาเกียจคร้านยิ่งนักและไม่ชอบความวุ่นวาย เป็นปกติเมื่อเทพจันทราลงไปเยือนเผ่ากระต่าย นั่นหมายความว่าจะต้องมีพิธีการคัดเลือกเซียนกระต่ายที่เหมาะสมที่สุด เพื่อจะเป็นเซียนรับใช้ข้างกายของผู้เฒ่าจันทราบนดวงจันทร์ ซึ่งเยว่เล่อไม่เคยใช้ร่างจริงในการลงไปเยือนเลยสักครา ทุกครั้งที่เขาลงไป ก็มักจะแปลงกายเป็นเฒ่าชราเสมอ
ดังนั้นหากเขาลงไปเยือนพิภพเซียนในครานี้ เขาจะไปโดยที่ไม่ให้ผู้ใดรับรู้ ‘ไม่ว่ากระต่ายตัวแรกที่ข้าเจอจะมีลักษณะเป็นเช่นไร ข้าก็จะไม่ลังเล กระต่ายตัวนั้นจะได้รับเลือกให้มารับใช้ข้า’
เพียงแค่นึกคิดเยว่เล่อก็วางขวดสุราลง ก่อนจะหายวับไปจากวังจันทราดุจสายลม ชั่วพริบตาร่างใหญ่โตของผู้เฒ่าจันทราก็ปรากฏอยู่ที่ชายป่าของเผ่ากระต่ายแห่งพิภพเซียน
เยว่เล่อลอยอยู่ท่ามกลางอากาศ ร่างเทพของเขาลอยละล่องดุจขนนกพลิ้วไหวจนสองเท้าแตะลงบนพื้นด้วยท่วงท่าอันงดงาม
แม้ดวงตาของเขาจะพร่าเลือนลงไปจากฤทธิ์ของสุรา แต่เพื่อไม่ให้ภารกิจสวรรค์ต้องสะดุดเขาจึงต้องแบกร่างของตัวเองตามหากระต่ายต่อไป
“เอาล่ะ รีบ ๆ หา แล้วรีบกลับจันทราของข้าจะดีกว่า”
เยว่เล่อพึมพำ เขาเดินลัดเลาะไปตามแนวป่าด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบาเพื่อเริ่มภารกิจตามหากระต่ายต่อไป
เขาเดินตามทางมาเรื่อย ๆ แต่ดูเหมือนว่าจะไร้วี่แววของกระต่ายแต่เขาก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ขอเพียงแค่มีกระต่ายตัวหนึ่งเล็ดลอดเข้ามาในสายตารับรองว่าเขาจะไม่รั้งรอต่อไปเป็นแน่
ดูเหมือนว่าสวรรค์จะได้ยินในสิ่งที่เขาร้องขอ แววตาคมประดุจเหยี่ยวที่เริ่มจะพร่าเลือนเล็ก ๆ ของเขาเหมือนจะพบเจอเป้าหมายเข้าให้แล้ว
เบื้องหน้าภายในโพรงหญ้าทึบกลับมีเจ้าก้อนขนปุกปุยสีชมพูมุดหัวเข้าไปในโพรง เหลือเพียงก้นและพวงหางทรงกลมเท่านั้นที่โผล่ออกมาจากโพรงหญ้านั้น
“เฮ้อ ข้าไม่อยากจะคิดเลยว่ากระต่ายตัวนี้จะเกียจคร้านเพียงใด แค่เข้าไปนอนดี ๆ ยังไม่ทำแต่กลับมาหลับคาโพรงหญ้าเสียอย่างนั้น”
เยว่เล่อสะบัดหน้าเรียวได้รูปไปมา เมื่อเขาย่ำกรายเข้ามาใกล้เจ้ากระต่ายสีชมพูที่เขาได้พบเจอ
ฟี้...ฟี้
มิหนำซ้ำเจ้ากระต่ายตัวนั้นยังกรนดังจนทะลุออกมานอกโพรง ทำให้เยว่เล่อหมายใจจะร่นเท้าถอยหลัง เพื่อถอดใจจากกระต่ายตัวแรกที่เขาได้พบเจอ
“ไม่สิ คนเช่นข้าเอ่ยคำไหนต้องคำนั้น ถ้าเจ้ากระต่ายตัวนี้จะขี้เกียจก็ถือว่าสวรรค์เล่นตลกกับข้าก็แล้วกัน”
ทว่าเยว่เล่อกลับมีความรู้สึกหนึ่งแทรกซ้อนเข้ามา ความรู้สึกนั้นทั้งท้าทายและบอกให้เขาลองเสี่ยงดู เขาจึงคิดถึงวาจาที่เอ่ยของตัวเองก่อนจะลองเสี่ยงดวงกับกระต่ายตัวแรกที่เจอเป็นการวัดดวง
เยว่เล่อยื่นมือออกไปยังพวงหางกลมของกระต่ายตัวนั้น ก่อนจะออกแรงดึงเพื่อให้หัวของเจ้ากระต่ายพ้นออกมาจากโพรง
พรืด
หมับ
หลังจากที่ดึงเจ้ากระต่ายออกมาจากโพรงได้สำเร็จ เขาก็ไม่ลืมที่จะคว้าหนังคอของมันเอาไว้เพื่อไม่ให้กระต่ายน้อยแผงฤทธิ์ได้ กระต่ายพวกนี้ดื้อรั้นเพียงใด ผู้เฒ่าจันทราที่มีกระต่ายเป็นเซียนรับใช้มานานนับพันปีเช่นเขา รู้ดีที่สุด
‘หวังว่าข้าจะเลือกไม่ผิดนะ...’