ตอนที่ 3 บ่วงความกตัญญู
ตอนที่ 3
บ่วงความกตัญญู
วันนี้ทั้งวันมีนาทำงานจนแทบไม่ได้หยุดพัก กว่าจะได้กินข้าวก็เกือบบ่ายสองมอง หญิงสาวหอบร่างกายที่เหนื่อยล้าลงมาด้านล่าง เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าตาซีดเซียว
“น้องมีน ทำไมหน้าซีดขนาดนั้นจะเป็นลมหรือเปล่า”
เจ้าของร้านข้าวแกงเอ่ยถามเมื่อเห็นว่า หญิงสาวดูท่าทางไม่ค่อยดี
“หิวข้าวมากเลยค่ะ หิวจนจะเป็นลมเลย”
“ถ้าอย่างนั้นดื่มน้ำเย็นๆก่อน เดี๋ยวพี่ไปหา ยาดมมาให้”
ด้วยความที่มีนาเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ ทำให้เธอสนิทสนมกับเจ้าของร้านเป็นพิเศษ
“ขอบคุณมากนะคะ”
“แล้ววันนี้จะกินอะไรดี พี่จะได้ไปตักมาให้”
หญิงสาวชะเง้อมอง เพราะว่าเธอลงมาช้ากว่าคนอื่นกับข้าวก็เลยเหลือไม่มากแล้ว
“ผัดวุ้นเส้นกับทอดมันก็ได้ค่ะ”
มีนานั่งหลับตาพร้อมดมยาดมไปด้วย วันนี้เมื่อเธอมาถึงบริษัท เธอก็แทบจะไม่ได้พัก วิ่งไปประชุมสามเเผนก แถมยังต้องเดินทางไปรับลูกค้าที่สนามบิน กลับมาก็ต้องคอยดูแลจริยาอีก
“มาแล้ว พี่แถมน้ำเก๊กฮวยให้ด้วยนะ กินน้ำหวานๆเผื่อจะดีขึ้น”
“ขอบคุณนะคะ แล้วนี่จะปิดร้านแล้วเหรอคะ”
“หมดถาดนี้ก็ปิดแล้วแหละ แต่ว่าน้องมีนนั่งกินไปก่อนก็ได้นะ ไม่ต้องรีบ”
ทำงานที่บริษัทนี้มา 5 ปีเธอไม่เคยนอกใจไปกินร้านไหนเลยนอกจากร้านนี้ ถ้าเธออยู่ที่บริษัทที่นี่ก็จะเป็นสถานที่ที่เธอมักจะมาฝากท้องอยู่เป็นประจำ แต่หากวันไหนต้องออกไปทำงานนอกสถานที่เธอก็จำเป็นที่จะต้องกินร้านอื่น แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคิดถึงรสชาติอาหารร้านนี้อยู่เสมอ
“น้องมีน ที่บริษัทพอจะมีตำแหน่งว่างบ้างไหม พอดีน้องสาวพี่เพิ่งเรียนจบ มันไม่อยากมาช่วยพี่ทำร้านข้าวแกงอยากจะไปทำงานบริษัทเป็นสาวออฟฟิศมากกว่า”
“แล้วเรียนจบด้านไหนมาคะ”
“น้องสาวพี่จบบัญชีมา”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวมีนลองถามฝ่ายบุคคลให้นะว่าตอนนี้แผนกบัญชียังรับพนักงานอยู่หรือเปล่า”
“ขอบคุณมากนะน้องมีน”
หญิงสาวพยักหน้าเบาๆ แต่ทั้งสองยังไม่ได้คุยอะไรกันมากลูกค้าก็ทยอยเข้ามาในร้าน ถึงกับข้าวจะเหลือไม่เยอะแล้ว แต่ลูกค้ากลุ่มนั้นก็ไม่เกี่ยงเพราะทุกๆเมนูของร้านนี้อร่อยเสมอ
“เดี๋ยวมีนกลับไปทำงานก่อนนะคะ”
หลังจากที่หญิงสาวรับประทานอาหารเสร็จเรียบร้อยเธอก็รีบกลับเข้าบริษัท เนื่องจากว่าช่วงบ่ายยังคงมีประชุมอีกรอบ และที่สำคัญช่วงเย็นเธอต้องตามจริยาไปส่งลูกค้าที่สนามบินด้วย
ภายในรถตู้คันหรู มีนานั่งอยู่ด้านหลัง ถึงแม้ว่าจะเลยเวลาเลิกงานมาแล้ว แต่วันนี้เธอต้องทำงานล่วงเวลาเพราะต้องติดตามจริยาไปที่สนามบินเพื่อไปส่งลูกค้ากลับประเทศ
“ผมต้องขอบคุณคุณจริยาและคุณมีนามากนะครับที่อุตส่าห์เดินทางมาส่ง”
“ไม่เป็นไรเลยค่ะ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะคะ”จริยาเอ่ย
“เช่นกันครับ”
ถึงแม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงหน้าจริยา สายตาของเขากลับมองเลยไปที่ผู้หญิงด้านหลัง หญิงวัยกลางคนรู้ว่าลูกค้าคนนี้กำลังสนใจเลขาของเธอ จึงจงใจกีดกันเพราะรู้จักนิสัยใจคอของอีกฝ่ายดี
“จะเป็นอะไรไหมครับคุณมีนา ถ้าผมอยากจะขอเบอร์คุณไว้”
“คะ?”
“ไว้ติดต่อเรื่องงานไงครับ”
มีนาสบตาจริยาก่อนที่เธอจะพยักหน้าเบาๆ หญิงสาวยอมให้เบอร์แต่โดยดี แต่นั่นไม่ใช่เบอร์ของเธอ เป็นเบอร์ที่เธอสุ่มมั่วๆขึ้นมาเท่านั้น
จริยาเคยสอนเสมอว่าหากเจอลูกค้าที่ดูเจ้าชู้ ให้เอาตัวรอดด้วยวิธีนี้ เพราะนี่จะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้มีนาไม่ถูกผู้ชายเหล่านั้นกวนใจ
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่หญิงสาวได้พักผ่อนเสียทีมีนาเดินทางกลับมาที่บ้าน แต่แล้วเธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่ามีใครบางคนกำลังยืนรออยู่หน้าประตูรั้ว
“เมษา มาทำอะไรที่นี่”
คนที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นน้องสาวต่างแม่
“หนูมาหาพี่มีน”
“ถ้าอย่างนั้นเข้าไปคุยในบ้านก่อน”
หญิงสาวเปิดประตูให้น้องสาวต่างแม่เข้ามาด้านใน อีกฝ่ายเพิ่งอายุสิบสี่ปี แต่ออกจากบ้านมาดึกๆดื่นๆแถมยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดนักเรียนด้วยซ้ำ ทำให้เธอสงสัยว่าเมษามีธุระสำคัญอะไรทำไมต้องมา ดักรอเธอในเวลานี้ด้วย
“ออกมาจากบ้านดึกๆแบบนี้พ่อกับแม่ไม่ว่าหรือไง”
เด็กสาวหน้าเศร้า เงยหน้ามองพี่สาวต่างแม่ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“พ่อป่วยหนักมากเป็นโรคไต ต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล”
มีนาชะงัก เธอไม่ได้คุยกับพ่อแม่นานแล้ว จึงไม่รู้เลยว่าตอนนี้ชีวิตของทั้งสองเป็นยังไงบ้าง
“แล้วตอนนี้พ่ออยู่ที่โรงพยาบาลไหน”
“แม่เอาพ่อไปไว้เอกชน แล้วก็ไม่มีเงินจ่าย”
มีนาขมวดคิ้ว ช่วงที่เธอเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ช่วงนั้นพ่อบอกกับเธอตรงๆว่าฐานะทางบ้านไม่ค่อยดี เงินเดือนพ่อไม่พอใช้เพราะต้องส่งเสียน้อง 2 คนเรียนหนังสือ เมื่อมีนารู้แบบนั้นเธอจึงพยายามหาทางดิ้นรนด้วยตัวเองและไม่ได้ติดต่อหาพ่ออีกเลย
“พี่มีนช่วยหน่อยได้ไหม”
“ถ้าอย่างนั้นตอบพี่มาก่อนว่าทำไมแม่เราถึงได้เอาพ่อไปไว้โรงพยาบาลเอกชน ทั้งๆที่บ้านก็ไม่ค่อยมีเงิน”
“แม่เขาไม่อยากเสียหน้า หนูก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี พูดไปมันก็เหมือนนินทาแม่ตัวเอง”
มีนาจำได้ว่าพ่อเคยบ่นให้เธอฟังสองสามครั้งว่าแม่เลี้ยงเป็นคนที่หัวสูงชอบใช้เงินฟุ่มเฟือย ตอนนั้นเธอก็ไม่ได้ใส่ใจไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาร้ายแรงอะไร
“พ่อต้องผ่าตัด ถ้าไม่มีเงินไปจ่ายเขาเขาก็ผ่าตัดให้ไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้นยายพ่อมาโรงพยาบาลรัฐบาลไม่ได้เหรอ”
เมษาหน้าสลดลง เธอไม่กล้าขัดคำสั่งแม่
“กลัวแม่ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่จะไปจัดการเอง”
“หนูมาที่นี่ แม่ไม่รู้ว่าหนูมา หนูกลัวพ่อจะเป็นอะไรไปก็เลยมาขอความช่วยเหลือจากพี่”
เธอยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ไม่มีเงินมากพอที่จะช่วยชีวิตพ่อได้ สิ่งที่เธอทำได้ในตอนนี้คือมาขอความช่วยเหลือจากพี่สาวต่างแม่ เธอได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเลขาผู้บริหาร แถมยังเพิ่งซื้อบ้านจึงคิดว่าน่าจะพอมีเงินอยู่บ้าง
“ถ้าย้ายพ่อไปโรงพยาบาลรัฐบาลก็ต้องไปรอคิวผ่าตัด แต่อาการพ่อหนักมากเลยนะพี่มีน ถ้าปล่อยให้พ่อต้องไปรอคิวหนูกลัวว่าพ่อจะทนไม่ไหว”
มีนาได้ยินแบบนั้นก็กังวล ถึงพ่อกับแม่จะแยกทางกัน แต่ทั้งสองก็ถือว่าเป็นบุพการี จะให้เธอ เมินเฉยได้ยังไง
“แล้วค่าผ่าตัดมันเท่าไหร่ล่ะ”
“หนูก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่เห็นเขาพูดก่อนว่าน่าจะหลายหมื่น”
“ถ้าแค่นั้นพี่ก็พอช่วยได้นะ แต่พี่ว่าเราไปถามหมอให้แน่ใจเถอะว่าพ่อต้องรักษาอะไรบ้าง แล้วค่าใช้จ่ายตลอดการรักษามันเท่าไหร่ เผื่อว่าพี่ช่วยได้พี่ก็จะได้ช่วย”
“ค่ะพี่มีน”
เด็กหญิงดูรักพ่อมาก เพราะพ่อเป็นคนเดียวที่ไม่เคยดุด่าไม่เคยทุบตีเธอเหมือนแม่ พ่อเป็นที่พึ่งเดียวที่เธอเหลืออยู่ เธอจึงไม่อยากเสียพ่อไป
“จะกลับหรือยัง เดี๋ยวพี่ไปส่ง นี่มันก็มืดแล้วนะกลับคนเดียวอันตราย”
“ขอบคุณนะคะพี่มีน”
มีนาไม่ได้มีอคติกับน้องสาวต่างแม่ เพราะเธอรู้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้มีชีวิตที่ดีสักเท่าไร ถึงจะมีพ่อแม่พร้อมหน้าพร้อมตาแต่ก็ไม่ได้รับความรักความอบอุ่นจากผู้เป็นแม่อย่างเต็มที่ แถมยังต้องทนกับอารมณ์แปรปรวนของแม่อีกด้วย
