ตอนที่ 2 ผู้มีพระคุณ
ตอนที่ 2
ผู้มีพระคุณ
เช้านี้ที่บริษัท มีนาก็ยังคงตั้งใจทำงานเหมือนเดิม หน้าที่หลักของเธอก็คือคอยดูแลจัดการตารางงานให้กับจริยา คอยติดตาม ประสานงานและอำนวยความสะดวกให้ ตลอด 5 ปีที่ผ่านมาเธอเป็นเลขาที่ยอดเยี่ยมและมักจะได้รับคำชื่นชมอยู่เสมอ
“อาทิตย์หน้าฉันต้องไปอเมริกา เธออยากไปด้วยกันไหมมีนา”
“ท่านประธานจะไปทำอะไรที่อเมริกาเหรอคะ”
เธอจำเป็นต้องรู้ หากเป็นเรื่องงานเธอก็จะติดตามไปด้วย
“ฉันว่าจะไปเยี่ยมญาติที่แอลเอ”
“ถ้าอย่างนั้นมีนไม่รบกวนดีกว่าค่ะ”
“รบกวนอะไรกัน เธอทำงานกับฉันมาตั้งหลายปี แถมยังเป็นเด็กที่ฉันสนับสนุนทุนการศึกษาอีกต่างหาก ในสายตาฉันเธอก็ไม่ต่างอะไรจากลูกหลานหรอกนะ”
มีนายอมรับว่าเธอซาบซึ้งมากทุกครั้งที่ได้ยินคำพูดแบบนี้ จริยาเป็นคนที่ทำให้เธอมีทุกวันนี้ หลังจากเรียนจบมัธยม เธอก็รู้สึกเคว้งคว้าง เมื่อเห็นค่าเทอมมหาวิทยาลัย จนแทบไม่อยากจะเรียนต่อ
แต่แล้วเธอก็ได้ยินว่ามีบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งต้องการที่จะสนับสนุนเงินทุนการศึกษาให้กับคนที่ต้องการเรียนต่อระดับปริญญาตรี เมื่อเห็นรายละเอียดทุน มีนาก็ไม่รีรอที่จะสมัครเข้าร่วม การคัดเลือก
และด้วยความเมตตาของจริยา ทำให้เธอนั้นได้เรียนต่อปริญญาตรีอย่างที่ต้องการ จนกระทั่งเรียนจบเธอก็ตัดสินใจเข้ามาทำงานที่บริษัทของอีกฝ่าย เธอเริ่มต้นด้วยตำแหน่งเล็กๆ แต่จริยาคงเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจของเธอจึงได้ดึงตัวไปช่วยงานอยู่บ่อยๆ และหลังจากที่เลขาคนเก่าลาออก จริยาก็ได้แต่งตั้งเธอเป็นเลขาคนใหม่ทันที
“ขอบคุณท่านประธานนะคะที่เมตตามีนมาโดยตลอด มีนไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนบุญคุณ ท่านประธานยังไงดี”
“ฉันไม่ได้ต้องการสิ่งตอบแทนอะไรหรอกนะ แค่เห็นเธอมีชีวิตที่ดีขึ้นแค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว”
จริยาเป็นคนที่ชอบทำบุญ เธออุปการะเด็กไว้มากมาย มีมูลนิธิเพื่อรองรับเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง จริยาเป็นนักธุรกิจที่ใจบุญมีเมตตามาก แต่ก็ไม่เคยออกสื่อไม่เคยโอ้อวดว่าตัวเองทุ่มเทเงินมากแค่ไหนกับการทำบุญ
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะท่านประธาน”
หญิงสาวนั่งลงก่อนจะกราบที่ตักของจริยา หญิงวัยกลางคนลูบศีรษะมีนาเบาๆ จนถึงตอนนี้เธอไม่เคยผิดหวังในตัวผู้หญิงคนนี้เลยสักครั้ง เงินที่เธอจ่ายค่าเล่าเรียนให้กับมีนา เธอไม่เคยรู้สึกเสียดายแม้แต่นิดเดียว
“พอเห็นว่าเธอเป็นเด็กที่มีความกตัญญูเคารพเชื่อฟังฉันมาตลอด มันก็ทำให้ฉันอดเปรียบเทียบกับเจ้าลูกชายไม่ได้จริงๆ”
จริยามีลูกชายชื่อคีตะ ปีนี้ก็อายุสามสิบสองปีเเล้ว แต่ไร้วี่แววว่าจะแต่งงาน ทำให้เธอรู้สึกเครียดกลัวว่าจะไม่ได้อุ้มหลาน แต่สิ่งสำคัญมากกว่านั้นคือเธออยากให้ลูกชายปล่อยวางเรื่องในอดีต เพราะเขาจมทุกข์มานานหลายปีแล้วจนทำให้คนเป็นแม่อย่างเธอพลอยกังวล
“ฉันควรจะทำยังไงดีกับคีตะ ผู้หญิงคนนั้นก็ตายไปตั้งนานแล้ว แต่ลูกชายฉันก็ยังไม่ยอมปล่อยวาง”
คนเป็นแม่เป็นห่วงลูก เธอมักจะนำเรื่องนี้มาบ่นให้มีนาฟังอยู่บ่อยๆ แต่หญิงสาวก็ทำได้แค่รับฟังเท่านั้น เธอไม่สามารถออกความคิดเห็นอะไรได้ ยังไงก็เป็นเรื่องส่วนตัวและเป็นเรื่องในครอบครัวของจริยา เธอไม่ควรที่จะเอาความคิดของตัวเองไปตัดสิน
“ฉันเข้าใจนะว่าลูกชายฉันรักผู้หญิงคนนั้นมาก แต่เวลามันผ่านมานานหลายปีแล้วเขาก็ควรจะทำใจในเรื่องนี้ ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเองทนทุกข์อยู่แบบนี้”
เมื่อหลายปีก่อน คีตะได้คบกับผู้หญิงคนหนึ่งชื่อว่านานา ผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้หญิงธรรมดามาจากครอบครัวชนชั้นกลาง จริยาเคยเจออยู่สองสามครั้ง และเธอก็เห็นมาตลอดว่าลูกชายของเธอรักผู้หญิง คนนั้นมาก
ตอนนั้นจริยาเชื่อว่าคีตะจะต้องลงหลักปักฐานกับนานาแน่นอน แต่แล้วเธอก็ได้รับข่าวร้ายว่า หญิงสาวเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะที่กำลังขับรถกลับบ้านกลางดึก ตอนนั้นเธอจำได้ดีว่าลูกชายของเธอถึงกับเสียสติไปชั่วขณะหนึ่ง เขากินไม่ได้นอนไม่หลับร่างกายผอมซูบ ท่าทางที่ดูเหมือนตรอมใจทำให้แม่อย่างเธอรู้สึกร้อนรนจนต้องหาวิธีรักษา
“ให้เวลาเขาหน่อยเถอะค่ะท่านประธาน”
“มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ฉันคิดว่าฉันให้เวลาเขามามากพอแล้ว”
เธอไม่ได้อยากสร้างความรำคาญใจให้ลูกชาย แต่ในฐานะแม่จะทนเห็นลูกเป็นแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน
“บางทีฉันก็สงสัยนะว่าเขารำคาญฉันหรือเปล่า ช่วงนี้เขาไม่ค่อยกลับมาบ้านสักเท่าไหร่”
ยิ่งปล่อยให้คีตะอยู่คนเดียวเธอก็ยิ่งกังวล กลัวว่าลูกชายจะคิดฟุ้งซ่าน แม้ระยะหลังเขาจะใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติแล้วก็ตาม แต่เธอรู้ดีว่าในใจของเขายังไม่สามารถลืมผู้หญิงคนนั้นได้ลง
“เวลาผ่านไปเดี๋ยวเขาก็คงจะดีขึ้นค่ะ”
อาจจะใช้เวลาห้าปี สิบปีหรืออาจมากกว่านั้น แต่มีนาเชื่อว่าเวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่งทุกอย่างเอง
“ฉันก็เคยคิดแบบนั้น แต่ฉันจะมีเวลาอยู่รอเขาไปได้อีกนานแค่ไหน ฉันอยากเห็นเขาเป็นฝั่งเป็นฝา อยากเห็นเขามีครอบครัวที่อบอุ่น”
ถึงจะเป็นลูกชายแต่เธอก็อดห่วงไม่ได้ มีนาเข้าใจดี แต่เธอก็ช่วยอะไรไม่ได้นอกจากรับฟัง
“ฉันยอมรับนะว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนดีมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคีตะถึงได้ลืมไม่ลง”
จะว่าไปเธอเองก็รู้สึกเสียดาย หากนานายังอยู่บางทีลูกชายของเธอคงจะมีความสุขมากกว่านี้ เธอยังจำแววตาที่เปล่งประกายของคีตะได้อยู่เสมอ ทุกครั้งที่เขามองไปยังผู้หญิงคนนั้น แววตาของเขามักจะเต็มไปด้วยความสุข
“คนที่ใช่สำหรับคุณคีตะบางทีอาจจะยังมาไม่ถึงก็ได้ค่ะ”
“นั่นสินะ แต่ฉันพูดตามตรงนะ จะหาผู้หญิงที่ดีสักคนเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้หญิงที่มาจากครอบครัวร่ำรวยก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นคนดี”
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงไม่อยากให้ลูกชายแต่งงานกับทายาทนักธุรกิจที่เธอเคยเจอ เพราะส่วนใหญ่ผู้หญิงเหล่านั้นมักจะนิสัยเสีย ทำอะไรไม่เป็น เอาแต่ใจตัวเอง ถูกเลี้ยงดูมาแบบลูกคุณหนู เลยตั้งตัวเป็นใหญ่ไม่ยอมใคร ผู้หญิงที่มีคุณสมบัติแบบนี้ไม่มีทางทำให้ลูกชายของเธอมีความสุขได้ จริยาจึงไม่เคยเหลียวแล ไม่เคยสนใจ แม้ว่าพ่อแม่ของผู้หญิงเหล่านั้นจะพยายามยัดเยียดลุกตัวเองให้ลูกชายของเธอก็ตาม
