เปลี่ยนแปลงตัวเอง
ในเมื่อพูดคุยไม่ได้ผล เรนิศจึงคิดจะระบายความโกรธทั้งหมดด้วยการช็อปปิ้งเหมือนอย่างที่ผู้หญิงหลายคนชอบทำ มือเรียวหยิบแบล็กการ์ดในกระเป๋าขึ้นมาดู ลองพลิกซ้ายพลิกขวาหลายครั้ง จำได้ว่าเขาให้ไว้ในวันที่ย้ายเข้ามาในคฤหาสน์วันแรก ในอดีตเธอไม่เคยรูดบัตรเครดิตของสามีเลยสักครั้งเดียว ดังนั้นการใช้เงินเขาเพื่อซื้อความสุขของเธอ จึงเป็นเหมือนการแก้แค้นรูปแบบหนึ่ง
ก่อนจะไปหญิงสาวจ้องมองตัวเองในกระจก มองดูใบหน้าสวยปากนิดจมูกหน่อย ดวงตากลมโต ผิวพรรณขาวใสอมชมพู รูปร่างผอมเพรียวขาวเรียวยาว เว้นก็แต่หน้าอกกลมกลึงที่ดูคล้ายจะโดดเด่นกว่าสิ่งอื่น เรนิศมั่นใจว่าตนเองก็ดูดีไม่น้อยไปกว่าใคร เรียกได้ว่าแทบจะเลยมาตรฐานไปไกลโข แต่ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง แม้กระทั่งทรงผม เรนิศทำทุกอย่างคล้ายรันดาไปเสียหมด ไม่หลงเหลือตัวตนของตัวเองอีกเลย นับตั้งแต่ที่ได้แต่งงานกับอักษะ
ชีวิตนี้จึงตั้งใจว่าจะกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้งหนึ่ง
หญิงสาวขับรถสปอร์ตคู่ใจออกจากคฤหาสน์ด้วยความมุ่งมั่นเพื่อเปลี่ยนสไตล์ของตัวเอง เริ่มจากเปลี่ยนทรงผม ลอนปลายผมเล็กน้อยให้เข้ากับใบหน้า ไม่ปล่อยยาวตรงเหมือนในอดีต และซื้อเสื้อผ้าใหม่ทั้งหมด จากที่เคยสวมใส่ชุดสูทวัยทำงานตามรันดา เรนิศปรับเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดเดรสสีขาวดำมากขึ้น โดยเน้นช่วงบริเวณเอวคอดกิ่วให้รัดรูป ซึ่งปกติเธอไม่ใช่คนชอบเปิดเผยเนื้อหนังมากนักแต่ทว่าเสื้อผ้าหลายตัวกลับมีลายลูกไม้ผสมอยู่ เพิ่มความน่ามองให้กับเรือนร่างนี้ได้เป็นอย่างดี และตัดสินใจเปลี่ยนสไตล์การแต่งหน้าใหม่ทั้งหมด เครื่องสำอางสีบางเบาบนโต๊ะถูกโละทิ้งและแทนที่ด้วยคอลเลคชั่นใหม่ ลิปสติกสีแดงสดหลายแท่งถูกซื้อโดยคนๆ เดียว
"เหนื่อยเป็นบ้า" เธอบ่นพลางมองถุงช็อปหลายใบ ขณะนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟ "แต่ก็คงจะเหนื่อยน้อยกว่าคนที่ต้องหาเงินแบบอักษะ ป่านนี้คงโมโหเลือดขึ้นหน้าแล้วล่ะมั้ง"
หญิงสาวกล่าวด้วยความสะใจ อีกทั้งยังได้รู้ว่าแบล็กการ์ดใบนั้นไม่จำกัดวงเงิน เธอจึงสามารถรูดได้ตามต้องการ
“รู้แบบนี้ฉันคงถลุงเงินเล่นไปนานแล้ว แต่น่าเสียดายที่คงใช้ได้อีกไม่นาน”
ถึงต่อให้ตอนนี้เธอจะยังไม่สามารถหย่ากับอักษะได้ แต่เรนิศไม่มีทางยอมแน่ หากเขาไม่ยอมหย่าแต่โดยดี บางทีคงต้องเห็นเธอแผลงฤทธิ์เหมือนอย่างในอดีต แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อให้อีกฝ่ายสนใจ แต่เพื่อให้เขายอมปล่อยเธอไปต่างหาก
เรนิศนั่งพักจนหายเหนื่อย ประจวบเหมาะกับที่บอดี้การ์ดขนถุงช็อปปิ้งเสร็จพอดี หญิงสาวจึงตั้งใจจะเดินทางกลับ ทว่าในขณะกำลังจะลุกขึ้น ดันเผลอสะดุด อีกไม่กี่เมตรคงล้มหน้าคะมำแต่กลับมีมือใครบางคนคว้าเธอไว้ได้ทัน
เรนิศตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้เธอเผลอนึกถึงวันนั้นในอดีต
“คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ” น้ำเสียงกรุ้มกริ่มดังขึ้นพร้อมกลิ่นน้ำหอมฉุนแรงชวนให้เวียนหัว
“ไม่ ไม่เป็นไร ขอบคุณที่ช่วยค่ะ” เธอรีบสะบัดตัวออก แล้วเดินจากไปทันที ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าคนที่ช่วยเมื่อครู่เป็นใคร เห็นเพียงแค่ว่าเป็นชายร่างอ้วนท้วมคนหนึ่ง
ทันทีที่มาถึงคฤหาสน์ เรนิศสั่งให้สาวใช้ขนข้าวของทุกอย่างไปทิ้งจนหมด และถูกแทนที่ด้วยสิ่งของที่ซื้อมาในวันนี้ หลายคนมองสิ่งของตาลุกวาว ทั้งเสียดายและเจ็บใจในเวลาเดียวกัน เพราะทุกอย่างล้วนมีมูลค่าสูง
“อยากได้ก็เอาไปสิ ฉันยกให้พวกเธอ” เรนิศกล่าว
“ไม่ค่ะ! พวกเราไม่กล้าใช้สิ่งของของนายหญิงอยู่แล้ว” สาวใช้รีบส่ายหน้าปฏิเสธ จำได้ว่านายหญิงคนนี้หวงสิ่งของของตนเองมากขนาดไหน ยิ่งโดยเฉพาะสิ่งที่นายใหญ่มอบให้
“เอาไปเถอะ ฉันไม่ต้องการอีกแล้วล่ะ ชอบชิ้นไหนก็หยิบไปเลย”
“ไม่กล้าจริงๆ ค่ะ เดี๋ยวพวกเราจะเก็บของทุกชิ้นไว้ในกล่องเป็นอย่างดี”
“ไม่ต้อง ถ้าพวกเธอไม่ต้องการก็เอาไปทิ้งได้เลย เพราะฉันก็ไม่ต้องการเหมือนกัน”
“แต่ของเหล่านี้มูลค่าสูงมากเลยนะคะ นายหญิงจะทิ้งจริงเหรอคะ แถมยังมีเสื้อผ้าที่นายหญิงชอบใส่หลายตัวด้วย”
เรนิศมองตามเห็นกองเสื้อผ้าที่เธอมักจะสวมใส่ ทั้งที่อยู่แต่ในคฤหาสน์ ไม่ได้ออกไปไหน ทว่าตัวเธอในอดีตก็มักจะสวมใส่ชุดสูทราวกับนักธุรกิจหญิงคนหนึ่ง ช่างน่าขันเสียจริงที่ทำตัวเหมือนตัวตลกเช่นนี้
“ตอนนี้ฉันไม่ชอบชุดแบบนั้นแล้ว รวมถึงเครื่องสำอางและสิ่งของอื่นๆ ด้วย ถ้าพวกเธอต้องการก็เอาไปได้เลย ฉันไม่ถือสาหรอก”
เหล่าหญิงรับใช้ลังเลครู่หนึ่ง กลัวว่านายหญิงจะมาทวงสิ่งของเหล่านี้คืนไปในอนาคต และคงเป็นเรื่องหากอีกฝ่ายต้องการเอาเรื่องขึ้นมา
“หรือว่าพวกเธอรังเกียจฉัน” เรนิศถาม
“ไม่ใช่แน่นอนอยู่แล้วค่ะ! พวกเราไม่ได้รังเกียจนายหญิงเลยสักนิด!” ทุกคนรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“งั้นก็มาหยิบไปเถอะ แล้วก็จัดของที่ซื้อมาใหม่เข้าตู้ด้วย”
ทุกคนพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะจัดการถุงช็อปปิ้งหลายสิบใบตรงหน้าให้เรียบร้อย เมื่อเห็นชุดใหม่หลายตัวที่เธอซื้อมาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมนายหญิงถึงทิ้งชุดเดิมทั้งหมด เพราะเสื้อผ้าที่เธอซื้อมานั้นแตกต่างจากสไตล์เดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่เหลือเค้าโครงของสาวนักธุรกิจอีกเลย อีกทั้งสาวใช้หลายคนก็แอบเห็นด้วยเพราะสไตล์ใหม่นี้เข้ากับเธอมากกว่า
ช่วงเย็นวันนั้นอักษะไม่ได้กลับบ้าน เขาคงจะพักที่โรงแรมอีกตามเคย เรนิศไม่ได้แปลกใจอะไรแต่กลับรู้สึกเหงาเล็กน้อย เนื่องจากนับตั้งแต่ที่ถูกจับขังไว้บนเกาะ ป้าเพ็ญมักจะทานอาหารร่วมกับเธออยู่เสมอ ทว่าตอนนี้แม้จะมีอาหารมากมายแต่กลับมีเพียงหญิงสาวที่นั่งอยู่บนโต๊ะคนเดียวเท่านั้น
เธอไม่รอช้าหยิบจานและอาหารบางส่วนเดินเข้าไปในห้องครัว เหล่าคนรับใช้ที่นั่งทานอาหารก็ถึงกับตกตะลึง เมื่อจู่ๆ นายหญิงนั่งลงข้างๆ พวกเธอ
“นายหญิงมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ?”
“ก็มาทานอาหารด้วยน่ะสิ” เธอตอบ พร้อมจ้องมองไปที่อาหารแปลกตาหลายจาน “แล้วที่ทานอยู่นี่คืออะไร ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“เอ่อ…นี่คืออาหารพื้นบ้านแถวบ้านดิฉันเองค่ะ” สาวใช้คนหนึ่งรีบพูด
“ดูน่าอร่อยดีนะ ฉันทานด้วยได้หรือเปล่า”
“ถ้านายหญิงต้องการเดี๋ยวพวกเราจะทำให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ รอสักครู่นะคะ” ทุกคนต่างกระวีกระวาดลุกขึ้น
“ไม่ต้องหรอก ให้ฉันทานกับพวกเธอนี่แหละ”
“แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เริ่มทานอาหารกันดีกว่า” เรนิศไม่สนใจสีหน้าตกใจของเหล่าคนรับใช้ แล้วเริ่มพูดคุย “ว่าแต่เธอชื่อเดือนใช่หรือเปล่า ส่วนเธอก็คือดาว และคนนี้คือ….”
สาวใช้ต่างพยักหน้ารับ เมื่อนายหญิงของบ้านเริ่มเอ่ยชื่อของพวกเธอทีละคน ทุกคนต่างดีใจเป็นอย่างมาก เพราะในสายตาของพวกเธอ นายหญิงเป็นคนถือตัวคนหนึ่ง เคร่งครัด ไม่มีอารมณ์ขัน และมักจะแสดงสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา
นี่จึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่อีกฝ่ายสามารถจดจำชื่อของพวกเธอได้หมดทุกคน
เรนิศนั่งพูดคุยกับเหล่าคนรับใช้อยู่นาน สัมผัสได้ว่าหลายคนเริ่มเปิดใจให้เธอ ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวเหมือนในอดีต ที่เธอทำเช่นนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหงา และอีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะในอดีตมีหลายเหตุการณ์ที่รันดาแอบลอบทำร้าย เพื่อป้องกันตัวเอง หญิงสาวจึงต้องทำให้หลายคนเห็นว่าเธอไม่ใช่คนจิตใจคับแคบเหมือนแต่ก่อน และจุดเริ่มต้นที่ดีก็ควรจะเริ่มจากคนในบ้าน
“ฉันไม่ได้อยากจะแก้แค้น แต่หมาลอบกัดแบบเธอคงไม่ปล่อยฉันไปเฉยๆ แน่”
น้ำเสียงระแวดระวังเปล่งออกมาจากใบหน้าสวย หวนนึกถึงรอยยิ้มสะใจราวกับผู้ชนะของอีกฝ่าย