ตอนที่ 12 อย่าให้เจอหน้าแล้วกัน
หลังจากทหารคนสนิทออกไปแล้ว แม่ทัพจ้าวก็นั่งพึมพำในใจด้วยความไม่พอใจอย่างหมดความอดทน
[ อ๋องอี้เฉิน เจ้ายั่วยุข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยจุดประสงค์เพียงต้องการยึดอำนาจทางทหารของข้า
กระทั่งลงมือทำร้ายบุตรสาวเพียงคนเดียว ที่ข้าเฝ้าทะนุถนอมดังแก้วตาดวงใจ อย่างไร้ความเมตตาปรานี
ในเมื่อเจ้าได้แต่งนางแล้ว ไม่เห็นค่า ข้าจะไม่ให้เจ้าได้ครอบครองนางอีกต่อไป ต่อให้ต้องขัดราชโองการหรือมีโทษหนักเช่นไร ข้าก็ไม่สน
ข้าจะทำให้เจ้ารู้ ว่าการเหยียบย่ำเกียรติศักดิ์ศรีของตระกูลจ้าว จะต้องจ่ายแพงแค่ไหน ]
ความอดทนแม่ทัพจ้าวหมดลง หลังรู้ว่าบุตรสาวอันเป็นแก้วตาดวงใจถูกขังในคุกใต้ดิน ไม่เหลือความหลงไหลในตัวอ๋องเลือดเย็นอย่างอี้เฉินอีก
ทางด้านจื่อหยวน หลังจากรับคำสั่งแม่ทัพจ้าว เขาก็ควบม้ากลับเข้าเมืองอีกครั้งและได้เข้าไปในโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง ทำทีไปขอเช่าห้อง
" ข้าต้องการเช่าห้องที่มีความส่วนตัวหน่อย "
" ได้ๆ เชิญทางนี้เลยขอรับ "
เจ้าของโรงเตี้ยม ที่รู้จักกันดี จึงเดินนำจื่อหยวนไปยังห้องพัก สำหรับนัดคุยกัน
เมื่อเข้ามาในห้องและปิดประตูสนิทแล้ว จื่อหยวนจึงนำป้ายหยกออกมาแล้วเอ่ย
" อีกสามวัน ยามจื่อ ท่านแม่ทัพสั่งให้บุกจวนอ๋อง ช่วยคุณหนูออกมาจากคุกใต้ดิน "
นายท่านใหญ่เจ้าของโรงเตี้ยม พยักหน้าตอบรับคำสั่งแล้วเอ่ยตอบรับเสียงเบาด้วยสีหน้าจริงจัง
" ได้ ข้าจะแจ้งทุกคนให้เตรียมพร้อม "
จากนั้นจื่อหยวนจึงเอ่ยต่อว่า
" ในคืนวันนั้น เราต้องแบ่งกำลังออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกวางเพลิง เผาจวนอ๋อง ทำให้เกิดความผลหม่าน เบี่ยงเบนความสนใจผู้คน อีกกลุ่มปลอมตัวเข้าไปช่วยคุณหนู ส่วนข้า จะรออยู่ที่ชานเมือง คอยรับรับตัวคุณหนูกลับจวน "
" ได้ "
" คำสั่งท่านแม่ทัพ ข้าได้กล่าวกับท่านหมดแล้ว ท่านออกไปเถอะ "
หลังจากวางแผนกันเสร็จ นายท่านใหญ่เจ้าของโรงเตี้ยมก็พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดังปกติ เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยใดๆ
" เมื่อได้ห้องที่ถูกใจแล้ว เช่นนั้นข้าไม่รบกวนท่านแล้ว เชิญท่านพักผ่อนตามสบาย ขาดเหลืออะไร ก็บอกนะขอรับ "
จื่อหยวนพยักหน้าแล้วเจ้าของโรงเตี้ยมก็เดินออกมาจากห้อง กลับไปยังที่ทำงานของตน รับลูกค้าต่อด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
วันต่อมา ภายในคุกใต้ดินของจวนอี้เฉินอ๋อง ลี่ฉุนรู้สึกตัวขึ้นมา พอลืมตาก็เห็นคุณหนูตัวเองนั่งผิงไฟเพลินๆ นางจึงเอ่ยเรียกขึ้นด้วยความรู้สึกอึ้ง
" คุ คุณหนู "
จ้าวลู่ชิงที่กำลังนั่งผิงไฟเงียบๆ มองเปลวเพลิงเพลินๆ พอได้ยินเสียงสาวใช้คนสนิทเรียก จึงย้ายสายตามองไปยังสาวใช้แล้วถามขึ้นด้วยความใส่ใจ
" รู้สึกตัวแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นบ้างมั้ย "
" ดี ดีขึ้นเจ้าค่ะ "
ลี่ฉุนเอ่ยตอบพร้อมกับยันกายลุกนั่ง
ได้ยินเช่นนั้น จ้าวลู่ชิงจึงยิ้มออกมาแล้วเอ่ยชมยาที่ท่านแม่ทัพให้มา
" ยาของท่านพ่อนี่ดีจริงๆ เห็นผลไวราวกับเป็นยาวิเศษแหน่ะ สมานแผลได้ดีทีเดียว ดูแผลบนตัวเจ้าสิ ข้าทาให้ไม่กี่ครั้ง ก็แห้งจนเกือบจะหายแล้ว "
ลี่ฉุนเบิกตากว้างขึ้นพร้อมกับถามย้ำอย่างคาดไม่ถึง
" ท่านแม่ทัพส่งคนมาที่นี่หรือเจ้าคะ "
" อื้อ "
จ้าวลู่ชิงพยักหน้าตอบพร้อมกับเอาไม้เขี่ยกองไฟ ลี่ฉุนย้ายสายตามองไปยังกองไฟแล้วกะพริบตาถี่ด้วยความประหลาดใจ
" คุณหนู นี่ท่านเอาฟืนเอาไฟมาจากที่ไหน แล้วพวกทหารไม่ว่าอะไรหรือเจ้าคะ "
" เหอะ ทหารพวกนั้นน่ะ ขี้ขลาดตาขาวจะตายไป คิดว่าข้าเป็นผี หนีหายไปหมดแล้ว ไม่มีใครกล้าโผล่มาอีกเลย ดีที่คนของท่านพ่อเอาไฟชุดนี่มาให้และดี ที่ข้าใช้เป็น ไม่งั้นเราสองคนได้หนาวตายที่นี่แน่ "
นางเอ่ยพร้อมกับเอาที่จุดไฟให้สาวใช้ดู จากนั้นก็แอบลอบพึมพำในใจอย่างไม่คิดอะไรมากเหมือนสาวใช้ที่สีหน้าดูกังวลไปหมด
[ โชคดีที่ก่อนมาโลกนี้ บังเอิญเจอเจ้าฮวาเจ๋อจึนี่ในหนังสือประวัฒิศาสตร์ ยุคจีนโบราณ คิดไม่ถึงว่าจะได้มาใช้ชีวิตในยุคที่ใช้หินก่อไฟ ช่างเป็นประสบการณ์ใหม่ที่น่าทึ่งจริงๆ ]
สาวใช้เงียบไป แววตานิ่งสงบ จ้องมองอุปกรณ์จุดไฟในมือผู้เป็นนายแล้วพึมพำออกมาเบาๆด้วยความประหลาดใจ
" ฮวาเจ่อจึ "
" ใช่ เจ้าฮวาเจ๋อจึนี้แหละที่ช่วยชีวิตเรา ไม่คิดว่ามันจะใช้งานได้จริง สุดยอดมากเลยอ่ะ"
จ้าวลู่ชิงพูดพลางยิ้มหน้าระรื่นที่ได้ลองทำอะไรใหม่ๆในภพนี้ สาวใช้ได้แต่จ้องหน้าผู้เป็นนายอย่างงงงัน
[ ปกติคุณหนูจะกลัวไฟมาก ไม่เข้าใกล้ไฟเลย หากจำเป็นจริงๆ ต้องให้ข้าเป็นคนจุดไฟให้ตลอด
ตอนนี้กลับก่อไฟเอง ทั้งยังพูดถึงเรื่องไฟได้อย่างไม่มีอาการสั่นกลัวใดอีกเลย
หรือเป็นเพราะความจำเป็นกัน เพราะข้าหมดสติ ทำให้คุณหนูต้องจำใจก่อไฟเอง ใช่มั้ย
ต้องใช่แน่ๆ เพื่อทำให้ร่างกายข้าอุ่นขึ้น คุณหนูถึงกับฝืนความกลัวของตัวเอง คุณหนูช่างดีกับบ่าวเช่นข้าจริงๆ ]
ลี่ฉุนสงสัยและซาบซึ้งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้และถามออกไปด้วยสีหน้าที่ดูตื่นเต้น
" คุณหนู เมื่อกี้ท่านบอกว่า คนของท่านแม่ทัพมา เป็นความจริงหรือเจ้าคะ "
" ใช่ เดี๋ยวจะมีคนมาช่วยเราออกไปจากที่นี่แล้ว คิดว่า พวกเขาน่าจะรอให้เจ้าดีขึ้นก่อน ถึงค่อยมาช่วย ถ้ามาในตอนที่เจ้ายังป่วยอยู่เช่นนี้ ต่อให้หนีได้ก็หนีไม่ไหวหรอก เปล่าประโยชน์ พวกเขาก็น่าจะคิดแบบนี้เหมือนกัน "
จ้าวลู่ชิงเอ่ยด้วยสีหน้าที่ดูตั้งตารอคนมาพาออกไปจากคุกด้วยสีหน้าที่ดูมีความหวัง ทำให้ลี่ฉุนรู้สึกว่านางเปลี่ยนไป จึงถามขึ้นเพื่อความแน่ใจ
" คุณหนู ท่านกำลังตั้งตารอคนจากจวนตระกูลจ้าวมาช่วยหรือเจ้าคะ "
" ใช่ ทำไมหรือ ก็ข้ามาจากตระกูลจ้าวมิใช่หรือ เจ้าบอกว่า ข้าคือบุตรสาวของแม่ทัพจ้าว บุตรสาวเขาถูกขังในคุกทั้งคน ท่านพ่อจะทนนิ่งเฉยได้เช่นไรล่ะ มันก็ถูกต้องแล้ว ที่ท่านพ่อจะส่งคนมาพาเราออกไปจากที่นี่ ข้าเองก็อยากออกไปแล้ว "
จ้าวลู่ชิงเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล ยิ่งทำให้ลี่ฉุนจ้องหน้านางอย่างไม่อยากเชื่อ ว่าความความคิดความอ่านของนางจะเปลี่ยนไปมากเช่นนี้
" คุณหนู ข้ารู้สึกว่าท่านดูเปลี่ยนไปนะเจ้าคะ ถ้าเป็นท่านในเมื่อก่อน จะไม่ให้คนของจวนตระกูลจ้าวกระทำการบุ่มบ่ามหรือรอให้คนเข้ามาช่วยเช่นนี้ มันจะทำให้ท่านแม่ทัพเดือดร้อน ถึงขั้นถูกยึดอำนาจทางทหาร และอาจถึงขั้นที่ตระกูลจ้าวอาจจะไม่เหลืออะไรเลยนะเจ้าคะ ท่านลองตั้งสติแล้วคิดไตร่ตรองให้ดีอีกทีเถอะเจ้าค่ะ "
" หา! ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ "
" เจ้าค่ะ เดิมที ท่านอ๋องก็ไม่ได้โปรดปรานคุณหนูอยู่แล้ว ที่แต่งท่านก็แค่แต่งตามราชโองการ แน่นอนว่าฮ่องเต้ระแวงท่านแม่ทัพ เลยให้ท่านอ๋องแต่งกับท่านเพื่อที่จะใช้ท่านเป็นเครื่องมือควบคุมท่านแม่ทัพ ส่วนท่านอ๋อง เขาต้องการถอนรากถอนโคนท่านแม่ทัพ คุณหนูก็ทราบดีนี่เจ้าคะ "
ลี่ฉุ่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองเจือร้อนใจเล็กน้อย
[ โห ถึงขั้นคิดจะถอนรากถอนโคนกันเลยเหรอ อี้เฉินอ๋องผู้นี้รังแกกันเกินไปแล้ว คิดว่าตัวเองอยู่เหนือผู้คนแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง อย่าให้เจอหน้าแล้วกัน ]
เธอบ่นพึมพำในใจด้วยความรู้สึกโมโห จากนั้นจึงยิ้มแหยออกมาแล้วเอ่ยกับสาวใช้ว่า
" อาจจะเพราะข้าตายแล้วฟื้นกระมัง สมองและความจำของข้าจึงเลอะเลือน ไม่เหมือนเช่นเมื่อก่อน ต้องรบกวนเจ้าคอยเตือนสติและคอยชี้แนะแล้ว "
" เจ้าค่ะ ข้าน้อยเข้าใจ "