บทที่ 4 ใจดี
สินธพหันมาเห็นใจดี รอยยิ้มของหล่อนระบายบนใบหน้า ดวงตาที่จ้องหน้าพี่ชายของเขานั้นมีปัญหา เขารีบพูดขึ้นก่อนที่เกษตรอำเภอสาวจะตั้งคำถามกับโมไนย
“สวัสดีครับคุณใจดี เชิญนั่งครับ สวัสดีทุกคนครับ เชิญครับ”
เขาผายมือไปที่เก้าอี้และพยักหน้ากับทุกคนเป็นการเชิญแบบถ้าไม่นั่งเขาจะไม่ลดมือลง ใจดียิ้มตอบไมตรีของชายหนุ่มแต่ยังสงสัยกับผู้ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ด้านหลังสินธพ ดูลึกลับและซ่อนเร้นบางอย่างไว้ภายใต้หมวกผ้าปิดหน้ามิดชิดนั่น
จันทนาจ้องมองสินธพอย่างลืมตัว ผู้ชายคนนี้น่ารักมาก หล่อนไม่เคยเห็นใครที่น่ารักเช่นนี้มาก่อน เขาไม่ใช่คนรูปหล่อเข้มแต่หล่อน่ามอง หล่อนรู้จักชื่อเขาจากใจดี วันนั้นใจดีมาขอพบสินธพที่ไร่เพียงลำพังหากจำไม่ผิด หล่อนติดธุระเข้าไปดูไร่เกษตรกรอีกที่หนึ่ง หล่อนเผลอมองสินธพจนเขารู้ตัว เขายิ้มกับหล่อนก้มศีรษะนิดหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม
“สวัสดีครับ คุณ..”
“เอ่อ..เอ่อ..”
คนพูดเก่งอย่างจันทนาถึงกับพูดไม่ออก ใจดีมองเพื่อนร่วมงานแล้วอดยิ้มไม่ได้ จันทนาชอบสินธพสายตาของหล่อนเห็นอย่างนั้น
“จันทนาค่ะคุณสินธพ นี่คุณหมอเอื้อมพรแล้วก็คุณวิภูเป็นแพทย์อาสาค่ะ”
ใจดีแนะนำทุกคนกับสินธพ รอยยิ้มของหล่อนยังเจืออยู่บนใบหน้าเกลี้ยงเกลา สินธพก้มศีรษะยิ้มทักทายทุกคนแล้วหันมามองพี่ชาย
“นี่พี่โมไนย พี่ชายผมเองครับ ต้องขอโทษทุกคนแทนพี่ผมด้วย พี่ผมแพ้ฝุ่นแพ้แดดมากครับ ต้องใช้ผ้าคลุมหน้าตลอด ไม่ว่ากันนะครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ”
เสียงตอบเกือบพร้อมกันดังมาจากหญิงสาวทั้งสามและชายหนุ่มที่นั่งมองโมไนยอยู่ก่อนแล้ว สินธพยิ้มขณะที่โมไนยก้มศีรษะเล็กน้อย ไม่มีคำทักทายดังออกมาจากริมฝีปากใต้ผ้าสีน้ำตาล มีเพียงดวงตาเลื่อนไปที่ใบหน้าแขกพิเศษและหยุดนิ่งที่ใจดี หญิงสาวที่ทำให้หัวใจของโมไนยเต้นแรงและรู้สึกสบายใจเมื่อได้ยินชื่อหล่อนครั้งแรก
เขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าใจดีเป็นผู้หญิงที่ยิ้มสวย ดวงตาของหล่อนสุกใส เขาสนใจชื่อธรรมดาๆแต่แปลกในความรู้สึกและสะกิดใจจนต้องออกมารอพบในเช้าวันนี้
“คุณใจดีจะแนะนำอะไรกับคนงานก็เชิญเลยครับ”
สินธพพยักหน้ากับหญิงสาว สายตาเหลือบไปมองจันทนา เกษตรอำเภอหน้าใหม่อีกคนแล้วก็ต้องเลิกคิ้วสูง ดวงตากลมไม่โตมากนักจ้องนิ่งที่ใบหน้าของเขาเหมือนคนกำลังตกอยู่ในภวังค์ ยิ้มเมื่อครู่หุบลงฉับพลัน
“คุณจันทนาครับ มีสัตว์ประหลาดอยู่บนหน้าผมรึเปล่าครับ”
เขาชี้หน้าตัวเองพร้อมคำถามที่เรียกสติของเกษตรอำเภอสาวกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว จันทนากะพริบตารีบหันหน้าหนีสายตาที่จ้องล้อเลียน ใจดีมองเพื่อนแล้วอมยิ้ม กิริยาของหล่อนอยู่ในสายตาโมไนยทุกวินาที
“ว่าไงครับ มีตัวประหลาดโผล่ที่หน้าผมหรือครับ”
สินธพนึกสนุกย้ำคำถามให้จันทนาเก้อเขิน ยิ้มแหยและหลบตาของเขา เวลาผู้หญิงอายน่ารักเสมอสำหรับสินธพแต่เขาไม่เคยเห็นใครเขินเช่นจันทนามาก่อน หล่อนเขินทำอะไรไม่ถูกและไม่ส่งสายตาค้อนให้เขาเหมือนที่เขาเคยเจอมา
ผู้หญิงคนนั้นเขาเคยรักและเคยสัญญาว่าจะแต่งงานกับหล่อนหลังจากที่เรียนจบแต่เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในไร่นับดาว คอยดูแลพี่ชายที่มีใบหน้าอัปลักษณ์ หล่อนก็บอกเลิกกับเขาด้วยคำพูดที่ทำให้เขาเจ็บปวดใจมาถึงทุกวันนี้
“ฉันไม่ชอบไร่ มีแต่เขา มีแต่ป่า ถ้าคุณจะอยู่ก็อยู่ไปเถอะ ฉันไม่อยู่ด้วยหรอก อีกอย่าง ฉันไม่อยู่บ้านเดียวกับพี่ชายหน้าผีของคุณด้วย ขืนอยู่มีหวังเป็นโรคประสาทตายแน่ ลาก่อนค่ะสิน”
การตัดสินใจในครั้งนั้นทำให้เขาเห็นไร่องุ่นยาวสุดสายตา เห็นไร่อ้อย ไร่ข้าวโพดและสวนผลไม้ผสมที่มองทีไรมีความสุขทุกครั้ง หากวันนั้นเขาเลือกเดินจากไร่นับดาวโดยทิ้งให้โมไนยสร้างผืนดินผืนนี้เพียงลำพังเขาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
แต่เขาเลือกพี่ชายกับไร่ไม่ใช่ผู้หญิงที่รักเขาเพียงเปลือกคนนั้น วันนี้หัวใจที่อ้างว้าง เปลี่ยวเหงากลับชุ่มชื่นเพียงเห็นอาการเคอะเขินของหญิงสาวที่เขาเพิ่งเห็นหน้าหล่อนไม่กี่วินาที
เช่นเดียวกับโมไนย หัวใจที่เหว่ว้า หวาดกลัว กังวล ระแวงและหวาดผวาทุกค่ำคืนแห่งจันทร์เต็มดวงเริ่มมีความอบอุ่นแทรกเข้ามาโดยที่เขารู้สึกได้แค่สบตากลมสุกสกาวของใจดี
“ที่จริงฉันขอเข้ามาพบคุณที่ไร่ไม่ใช่จะมาแนะนำการทำปุ๋ยหมักหรอกค่ะแต่อยากมาดูการทำงานของชาวไร่จริงๆ ไม่ใช่แค่ผ่านมาเห็นแวบเดียวแล้วกลับค่ะ พวกคุณทำปุ๋ยเก่งกว่าฉันอีกนะคะไม่อย่างนั้นองุ่นของคุณไม่ลูกโตน่ากินหรอกค่ะจริงมั้ยคะคุณโมไนย”
ใจดีเงยหน้ามองผู้ชายร่างสูงแต่ไม่เห็นใบหน้าเห็นเพียงดวงตาเปล่งประกายวับวาว ผ้าที่ปิดตรงปากเหมือนจะขยับไหว สินธพหันไปมองพี่ชาย เขารู้ทันทีว่าโมไนยกำลังยิ้ม เขาหัวเราะเบาๆ
“ขำอะไรคะคุณสินธพ”
“เรียกสินก็ได้ครับคุณใจดี เอ.ผมว่าชื่อคุณนี่มีอำนาจมากนะครับ คนบางคนได้ยินชื่อแค่นั้นมีความสุขทันทีทั้งที่เกือบทั้งชีวิตของเขามีแต่ความทุกข์ ผมอยากให้คุณมาที่ไร่ผมทุกวันได้มั้ยครับ”
“คุณพูดอะไรคะคุณสิน”
ใจดีทำหน้างงกับคำพูดของสินธพ ไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงใคร คนบางคน คนๆ นั้นคือใครและทำไมต้องขอให้หล่อนมาไร่นับดาวทุกวัน ไม่เพียงใจดีจะรู้สึกกับคำพูดมีนัยของสินธพ จันทนากับเอื้อมพรที่นั่งฟังมานานหันมาสบตากัน
“เปล่าครับ ผมล้อเล่น คุณมีอะไรจะพูดกับคนงานก็เชิญครับ”
“ไม่มีหรอกค่ะ ให้หมอเอื้อมกับหมอวิภูตรวจคนงานทุกคนเลยค่ะ ตรวจฟรี ถ้าใครเป็นอะไรก็รับยาฟรีค่ะ ฉันกับยัยจันทร์จะไปเที่ยวในไร่ คุณสินพาไปได้มั้ยคะ”
“ได้ครับแต่รอพี่ไนยก่อน พี่ไนยให้คุณหมอตรวจหน่อยนะพี่”
โมไนยสั่นศีรษะทันทีและก้าวถอยหลังโดยเร็ว เขาจะไม่ยอมเปิดผ้าให้หมอหรือใครๆ เห็นโดยเด็ดขาด ความกลัวจะถูกเปิดผ้าที่ปิดหน้าไว้ทำให้เขาถอยห่างจากโต๊ะที่กลุ่มของหมอนั่งอยู่ไปทางคนงานซึ่งเป็นโอกาสของประโยชน์ คนงานไร่ปุยเมฆลุกขึ้นยืนแล้วกระตุกหมวกผ้าออกจากหน้าโมไนย
“เฮ้ย!”
ชายหนุ่มร้องด้วยความตกใจและผลักคนงานร่างสันทันผิวคล้ำอย่างแรง ร่างหนาล้มหงายหลังลงไปกองกับพื้น สินธพกระโจนพรวดเดียวถึงตัวคนงาน จับคอเสื้อดึงขึ้นมา ดวงตาที่จ้องหน้าคนงานแปลกหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
“แกทำบ้าอะไร”
“ผม..เปล่า ผมแค่อยากเห็นหน้านาย”
“มันไม่ใช่คนงานเราครับคุณสิน”
จอมทองก้าวเข้ามาจับต้นคอประโยชน์ลากออกห่างสินธพ ทุกสายตาจ้องจับที่ใบหน้าเหยเกของประโยชน์ มือใหญ่บีบไม่ปล่อย
“แกเป็นใคร”
หัวหน้าคนงานตะคอกถามพร้อมมือขยับบีบแน่นขึ้นจนคนถูกบีบร้องขอด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย..เจ็บนะโว้ย ปล่อยสิวะ”
“กูจะปล่อยมึงก็ต่อเมื่อมึงบอกกูมาก่อนว่ามึงเป็นใคร เข้ามาที่นี่เพื่ออะไร ถ้ามึงไม่พูด ลูกกระเดือกมึงแตกแน่”
จอมทองขยับมืออีกครั้ง ประโยชน์ร้องดังกว่าเดิม คราวนี้เจ็บจนน้ำตาซึม หากเขาไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใครคอหักอย่างไม่ต้องสงสัย
“โอ๊ย..บอกแล้ว บอก..อะ อะ..ปล่อยก่อน”
“ปล่อยเขา”
สินธพพยักหน้าให้จอมทองปล่อยมือ เขาไม่อยากทำร้ายใครโดยไม่มีความผิดร้ายแรง คนงานแปลกหน้าคนนี้ถ้าเดาไม่ผิดนักมาจากไร่ปุยเมฆ
“แกเข้ามาที่นี่ต้องการอะไร”
จอมทองถามเสียงเครียด ใบหน้าบึ้งน่ากลัว เขาเป็นหัวหน้าคนงานที่จริงจังกับงานมากจนคนงานไม่กล้าทำผิดหากเป็นข้อห้ามของไร่ กฎระเบียบที่ตั้งขึ้น คนงานต้องทำตามได้ทุกคนหากมีความจำเป็นต้องฝืนกฎก็ต้องแจ้งหัวหน้าก่อนจะกระทำการใดๆ ที่ผิดกฎและเรื่องต้องถึงโมไนยกับสินธพ กรณีไหนที่พออนุโลมได้คนงานคนนั้นสามารถทำได้แต่หากไม่แจ้งล่วงหน้าฝ่าฝืนทำผิด คนงานคนนั้นต้องย้ายออกจากไร่ภายใน 3 ชั่วโมง
ประโยชน์เงยหน้ามองสินธพแล้วเบนสายตาไปที่โมไนย ดวงตาวาววับเป็นประกายผ่านช่องผ้าออกมาเหมือนพลังแสงพุ่งใส่ตาประโยชน์ เขาหลบก้มหน้านิ่ง
“ฉันให้เวลาแกคิดห้าวินาทีว่าจะรีบพูดความจริงหรือว่าจะหาคำโกหกแบบไหนให้แนบเนียน พี่จอม นับ”
สินธพหันมาพยักหน้าให้จอมทอง ประโยชน์ยกมือขึ้นสองข้างพร้อมกับพูดเสียงรัว
“บอกแล้วครับบอกแล้ว ไม่มีใครส่งผมมา ผมเป็นชาวบ้านใกล้ๆนี่ครับ รู้ว่าเกษตรอำเภอจะมาก็เลยเข้ามาขอความรู้เรื่องปุ๋ยด้วยครับ”
“แน่ใจนะว่าแกพูดจริง”
“แน่ใจสิ ฉันจะโกหกทำไม”
“เอาบัตรประชาชนออกมา”
“บัตร..ไม่ได้พกมา มาแค่นี้ต้องพกบัตรด้วยเหรอ ฉันไม่รู้นี่”
ประโยชน์หาทางเลี่ยงด้วยคำพูดและทำหน้าไม่รู้เรื่องบัตรประชาชน จอมทองหันมามองสินธพเพื่อขอคำตัดสินกับชาวบ้านคนนี้
“ถ้าเป็นแค่ชาวบ้านก็ไม่เป็นไร คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีก พี่จอม ถ่ายรูปไว้ ให้เห็นหน้าชัดๆ นะ เผื่อเข้ามาอีกจะได้รู้ว่าเป็นชาวบ้านไม่ใช่คนไร่โน้นส่งมา พี่ดวงพาพี่ไนยกลับบ้านก่อน”
ชายหนุ่มออกคำสั่งเช่นทุกครั้ง เขาตัดสินเร็วและคำตัดสินแต่ละครั้งไม่ได้ทำให้ใครเจ็บตัวหรืออับอายยกเว้นคนๆ นั้นทำผิดจริงๆ
ใจดีมองสินธพสลับกับโมไนย เรื่องเล็กๆ แค่นี้ทำไมสินธพโกรธมากและโมไนยดูหวาดกลัวกับอะไรบางอย่าง โมไนยแพ้แดดจริงหรือเปล่าแล้วผู้ชายคนนั้นอยากเห็นหน้าโมไนยทำไม ความสงสัยแล่นเป็นริ้วๆ เข้ามาในคลื่นสมอง พี่ชายสินธพเป็นบุคคลที่น่าค้นหาเสียแล้วสิ ใจดีหยุดสายตาที่หมวกผ้าสีน้ำตาล
“อย่าเพิ่งกลับเลยค่ะ หมอขอตรวจอาการคุณโมไนยก่อนนะคะ”
เอื้อมพรเอ่ยทำลายความเงียบเมื่อครู่ สินธพยิ้มบาง โมไนยจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว เขาสงสารพี่เกินกว่าจะให้ฝืนทนกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของทุกคนอีกต่อไป
“ไม่เป็นไรครับ พี่ไนยมียากินอยู่แล้ว พี่ไนย ไม่ต้องห่วงทางนี้นะครับ ผมดูแลได้ พี่ไปพักก่อนนะครับ พี่ดวง..”
เขาพยักหน้ากับดวงดีเป็นครั้งที่สองเพื่อเร่งให้พาโมไนยออกไปจากศาลาประชุม ดวงดีขยับจะก้าวเข้ามาหานายใหญ่แต่นายก้าวนำไปก่อน มือพ้นขอบแขนเสื้อกำแน่นจนเห็นข้อปูดโปน โมไนยกำลังโกรธไม่ใช่โกรธคนที่ดึงหมวกออกจากใบหน้าของเขาแต่โกรธที่เขาเป็นแบบนี้
“ทำไมฉันต้องเป็นไอ้หน้าผีด้วยพี่ดวง ทำไมชีวิตฉันถึงต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายขนาดนี้ ทำไม...”
เสียงระบายความคับแค้นและเจ็บปวดดังลั่นรถ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกแต่เป็นครั้งที่ดวงดีนิ่งงันไปชั่วครู่ แรงสะอื้นดังออกมา หมวกผ้าถูกกระชากออกด้วยมือยาวเรียว ปากบิดเบี้ยวสั่นระริก
“คุณไนยครับ โกรธไอ้นั่นใช่มั้ยครับ”
ดวงดีถามเสียงเบา เหลือบมองนายทางกระจกส่องหลัง ไม่มีคำตอบจากนายหนุ่ม มือของนายคลายจากกำเกร็ง อาการสั่นหายไป
“ส่งฉันแล้วกลับไปช่วยสิน”
ทันทีที่รถจอดหน้าตึก คำสั่งเฉียบดังออกมาเป็นน้ำเสียงปกติ ดวงดีจะค้านคำสั่งนั้นแต่โมไนยเปิดประตูก้าวลงจากรถเดินเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว ดวงดีได้แต่ถอนใจเท่านั้น คำสั่งของโมไนยเขาไม่เคยขัดได้สักครั้ง
โมไนยก้าวเข้าห้องนอนช้าๆ ประตูห้องปิดตามหลังเสียงไม่เบานัก ความโกรธคุกรุ่นอยู่ในใจ ชาวบ้านกับคนงานไม่ผิดที่อยากเห็นหน้าเขา ทุกคนอยากรู้เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ไม่มีใครผิดกับเหตุการณ์เมื่อครู่ใหญ่ คนที่ผิดคือเขา หากเขาไม่ออกไป สายตาอยากรู้อยากเห็นที่จ้องมองมาราวกับตัวเขาเป็นมนุษย์ประหลาดก็คงไม่มีให้เขาเห็น
เขาจะไม่รู้สึกอะไรเลยหากผู้ที่มองคือคนงานในไร่ไม่ใช่หญิงสาวที่เขาสนใจหล่อนตั้งแต่ได้ยินชื่อ ดวงตาคู่สวยค้นหาและอยากกระตุกผ้าปิดหน้าของเขาออก เขารู้สึกอย่างนั้น ถ้าหล่อนเห็นหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของเขาแล้ว หล่อนจะเกลียดจะขยะแขยงหรือเปล่า
เสียงถอนใจดังทำลายความเงียบในห้องนอน ชายหนุ่มทิ้งตัวบนเตียงเอนกายนอนแผ่อย่างไม่ไยดีต่อสิ่งรอบข้าง บทลงโทษชีวิตของเขาร้ายแรงมากเพียงนี้ เขาสร้างกรรมไว้ชาติไหนจึงตามมาทำลายถึงชาตินี้
ความรัก ความฝันที่เคยวาดไว้สวยหรู หากพบหญิงสาวที่ถูกใจและใช่สำหรับเขา ชีวิตครอบครัวอบอุ่น มีลูกน่ารัก มีภรรยาสวยน่าทะนุถนอม ตัวเองหน้าตาดีคงไม่มีผู้หญิงคนไหนปฏิเสธหากเขาขอหล่อนแต่งงาน
ความฝันเหล่านั้นมลายไปเพียงแค่พริบตาของคืนวันที่โหดเหี้ยมและโหดร้ายที่สุดในชีวิตของโมไนย เสี้ยววินาทีที่เขารู้สึกดีกับเด็กสาวคนหนึ่ง มันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เด็กสาวผู้นั้นทำร้ายเขาอย่างเลือดเย็น ทำลายความรู้สึกดีๆ ที่เคยมีให้หล่อนหมดสิ้นไปด้วย
นับจากคืนนั้น ความเกลียดชังเข้ามาแทนที่ พลอยวดีเป็นผู้หญิงที่เขาเกลียดมากที่สุดและไม่มีอะไรมาเปลี่ยนความรู้สึกนี้ไปจากใจของเขาได้
“ใจดี ถ้าคุณเห็นหน้าผมเป็นปีศาจ คุณจะรังเกียจผมรึเปล่า”
คำถามดังผ่านริมฝีปากพังผืดซึ่งบัดนี้แย้มน้อยๆ คล้ายจะยิ้มแต่ฉับพลันทันใดนั้น รอยยิ้มก็จางหายไปในทันที
“เปี๊ยะ!”
เสียงดังมาจากบานประตูกระจกที่ปิดสนิท โมไนยลุกพรวด ยืนตัวตรง ดวงตาจับนิ่งที่ม่านรูดเปิดโดยอัตโนมัติ เขาถอยหลังไปยืนกลางห้อง
ไม่มีอะไรปรากฏที่ประตูสู่ระเบียง เสียงเหมือนกระจกแตกดังมาจากไหน เท้าก้าวช้าๆ ไปหยุดยืนห่างจากบานกระจกประมาณ 1 เมตร สายตากวาดทั่วบานกระจก รอยร้าวตรงส่วนหนึ่งส่วนใดของกระจกไม่มีให้เห็น ถ้าอย่างนั้น เสียงที่เขาได้ยินมันเกิดจากอะไร เขาถอยหลังรวดเดียวถึงเตียง
“จะเอาอะไรจากฉันอีก แค่นี้ยังไม่สะใจเธอรึไง”
พึมพำออกมา ใบหน้าเละผ่านวาบเข้ามาในสมอง ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง เขาหนีวิญญาณอาฆาตนั่นไม่พ้นจริงๆ หรือ
ดวงตาใต้พังพืดหลับลงเมื่อร่างเอนทอดยาวบนเตียงใหญ่ หูได้ยินเสียงครางอยู่นอกห้อง เขาไม่กล้าลืมตา ไม่อยากเห็นภาพน่าสะพรึงกลัว ไม่อยากเห็นหญิงสาวในชุดสีขาวแต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ความผิดที่โมไนยไม่ได้ก่อกลับกลายเป็นหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจของเขาอยู่ตลอดเวลา เขาหนีความจริง หนีความน่าเกลียดน่ากลัว หนีแรงอาฆาตแค้นของเด็กสาว หนีมานานมากแต่มันเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นกับเขาเมื่อไม่กี่วัน
ดวงตาสีเข้มลืมมองเพดานห้องครู่หนึ่งจึงยันกายลุกนั่งหันไปมองบานกระจกแล้วลุกยืน มือสองข้างกำแน่น สูดลมหายใจลึกๆ เท้าก้าวไปที่ประตูอย่างมั่นคง