บทที่ 3 สีดำ
วิไลสบตาดวงดีก่อนจะหันมามองสินธพ บ่าวกับนายมีความคิดไม่ต่างกัน วิไลยิ้มกว้างเมื่อเห็นสินธพอมยิ้ม เจ้านายแกล้งพูดไปอย่างนั้นแต่เพื่อให้คำพูดของนายมีน้ำหนักว่าโกรธจริงหล่อนรีบคลานเข่าเข้ามาใกล้นายหนุ่ม
“ขอโทษค่ะคุณสิน คุณสินเสียงเพราะค่ะแต่ว่าน้อยกว่าคุณไนยนิดเดียวค่ะ อย่างอนนะคะ ขอเงินเดือนเหมือนเดิมนะคะ”
วิไลทำหน้าแหย ดวงดีมองภรรยาและแอบชำเลืองมองหน้าโมไนย นายใหญ่ยกกาแฟขึ้นดื่มไม่มองบ่าวที่กำลังขอร้องนายน้อย
“ใช่เวลาเล่นมั้ยพี่วิไล พี่ดวง กลับไปนอนกันได้แล้ว ไม่มีใครหัวเราะทั้งนั้นแหละ สิน พี่ไปนอนนะ”
เขาลุกจากเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ เดินเร็วๆ ออกจากห้องไป ทิ้งสายตา 3 คู่และรอยยิ้มของคน 3 คนไว้เบื้องหลัง
“พี่ดวง พี่วิไล คืนนี้เป็นคืนที่วิเศษที่สุด ฉันไม่เคยรู้สึกดีๆ อย่างนี้เลยตั้งแต่พี่ไนยโดน..”
“คุณสินครับ...”
ดวงดีเอ่ยน้ำเสียงเหมือนเตือนสติให้สินธพหยุดพูดถึงเหตุการณ์ร้ายที่ผ่านมา ชายหนุ่มชะงักหันมาสบตาบ่าวผู้จงรักภักดี
“ขอบใจที่เตือน ฉันดีใจ วันนี้พี่ไนยหัวเราะ วันต่อไปพี่ไนยต้องดีกว่านี้”
“คุณไนยหัวเราะอะไรคะคุณสิน”
วิไลถามน้ำเสียงอยากรู้ ดวงตาที่จ้องนายไม่กะพริบ สินธพย่นหัวคิ้วทันที เขาลืมคิดถึงสาเหตุของเสียงหัวเราะได้อย่างไร เขาหันมามองวิไล
“พี่วิไล พรุ่งนี้เตรียมอาหารต้อนรับเกษตรอำเภอสองคน หมอโรงพยาบาลชุมชนของเราหนึ่งคนกับผู้ช่วยอีกหนึ่งคน ไปคิดว่าจะทำอะไร ไปได้แล้วพี่ดวงด้วย เชิญครับผมจะทำงาน”
เขาไม่ตอบคำถามของสาวใช้ เรื่องนี้ต้องเป็นความลับสำหรับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นคนอื่นยังรู้ไม่ได้ รอให้มั่นใจอะไรบางอย่างค่อยเล่าให้ดวงดีกับวิไลฟัง
โมไนยเดินไปนั่งบนเก้าอี้ริมหน้าต่าง รู้สึกแปลกๆ กับเสียงหัวเราะตัวเองขณะน้องชายบอกชื่อเกษตรอำเภอคนใหม่ เขาหัวเราะออกมาได้อย่างไร
ม่านสีเขียวอ่อนพลิ้วไหวตามแรงลมภายนอกพัดผ่านเข้ามาในห้อง ประตูบ้านเลื่อนกระจกแง้มอยู่ เขาลุกจากเก้าอี้เดินไปแตะม่าน วินาทีนั้นเขาก็ต้องสะดุ้งเพราะมือสัมผัสกับก้อนอะไรบางอย่าง เย็นเฉียบ เขาชักมือออกรวดเร็ว ถอยห่างจากบานกระจก
เสี้ยววินาทีนั้นผ้าม่านรูดเปิดเหมือนมีคนกระชากไปรวมข้างประตู ร่างหญิงสาวผมยาวคลุมใบหน้าถึงหน้าอกยืนเด่นอยู่ด้านนอก แสงจันทร์สาดผ่านร่างกระทบพื้นห้องราวกับไม่มีสิ่งกีดขวาง โมไนยกลั้นหายใจ ขยับเท้าถอยถึงเตียง ดวงตายังจับที่ร่างดำทะมึนนอกประตูกระจก
“เลิกตามจองเวรฉันซะที” เขาพึมพำเสียงสั่น
“ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะๆๆๆ”
เสียงหัวเราะแทนคำตอบที่ชายหนุ่มอยากได้ยินจากเงาดำ เขารู้ว่าดวงวิญญาณที่ตามหลอกหลอนเป็นใคร หล่อนปรากฏตัวให้เขาเห็นคืนแรกที่เข้ามาอยู่ไร่นับดาว
พลอยวดีในชุดสีขาวพลิ้ว ผมยาวสยายเต็มแผ่นหลัง ปลิวระใบหน้าเล็กน้อย ดวงตาสีขาวจ้องมาที่เขา หล่อนยกมือขวาขึ้นขนานกับพื้น น้ำสีดำไหลออกจากข้อมือเหมือนเปิดก๊อก หล่อนก้าวช้าๆ เข้ามา ปากขยับพร้อมกับเสียงดังกังวานเย็น
“พี่เป็นของพลอย พี่ต้องเป็นของพลอยเพียงคนเดียว พี่ต้องเป็นสมบัติของพลอย..ได้ยินมั้ย ใครจะมาแย่งพี่ไปจากพลอยไม่ได้ ใครก็แย่งพี่ไปไม่ได้...ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะๆๆๆ”
เขาหมดสติก่อนที่มือของพลอยวดีจะถูกตัวของเขา คืนนั้นเขาพร่ำเพ้อคำว่าอย่าเข้ามา ๆ และถดถอยหนีไปรอบห้อง สินธพกับดวงดีจับเขากดไว้กับเตียงนอนกระทั่งหลับไป
จากคืนนั้นจนถึงคืนนี้พลอยวดีไม่ปล่อยวาง ดวงวิญญาณของหล่อนโกรธแค้นและทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากโมไนยคิดพอใจผู้หญิงคนใดคนหนึ่ง เขาจะเห็นพลอยวดีในรูปลักษณ์น่าเกลียดน่าขยะแขยง ร่างที่ปรากฏให้เห็นเน่าแฟะหรือบางครั้ง เลือดไหลท่วมตัวของหล่อน
ความรักกับความอาฆาตพยาบาทรวมเป็นหนึ่งเดียว ฉุดพลังของดวงวิญญาณให้ปรากฏต่อหน้าโมไนย
“ไม่มีใครแย่งพี่ไปจากพลอยได้ พลอยจะฆ่ามัน จะฆ่ามัน...”
เสียงก้องเย็นยะเยือกแทรกลึกเข้าสู่หัวใจของเขา มือกำผ้าปูที่นอนแน่น ความกลัวกำลังบีบร่างแข็งแรงจนเจ็บร้าว เขาพยายามบังคับความรู้สึกไม่ให้กลัวกับร่างที่กำลังก้าวช้าๆ มาหยุดตรงช่องประตู สำนึกสุดท้ายก่อนทุกอย่างรอบกายจะหยุดนิ่งและแสงกระจ่างของดวงจันทร์จะดับวูบลง เขาพูดออกมา
“หลวงพ่อ..ช่วยด้วย...”
ฉับพลันแสงสีขาวสว่างวาบกระจายเต็มห้องนอนของโมไนยลอดผ่านช่องแคบของประตูสู่ภายนอก เสียงกรีดร้องโหยหวนดังห่างออกไปและเงียบสนิท ผ้าม่านรูดปิดเร็วเช่นเดียวกับที่เปิดเมื่อครู่ ลมไร้ทิศทางพัดหมุนม้วนปลิดขั้วใบไม้แก่บนต้นปลิวลอยละล่องตามแรงลมหายไปกับความสลัวของแสงจันทร์
โมไนยไม่ได้ยินเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของวิญญาณพยาบาท ไม่เห็นเงาสีดำบิดเป็นเกรียวก่อนจะหายวับไปกับความมืดของค่ำคืน
เสียงเคาะประตูดังต่อเนื่องแต่เสียงภายในห้องไม่ขานรับ คนเคาะประตูยืนนิ่งครู่หนึ่งจึงจับลูกบิดประตูขยับ มันเปิดออกง่ายดาย
“พี่ไนย ตื่นหรือยังครับ”
สินธพเดินเข้าไปยืนข้างเตียง ร่างพี่ชายนอนเหยียดยาวไม่มีกริยาจะตอบรับเสียงเรียกของเขา โมไนยไม่เคยนอนหลับสนิทจนกระทั่งเช้าอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายของเขา
“พี่ไนย พี่ไนยครับ พี่ไนย”
มือเขย่าแขนคนนอน ขณะทรุดนั่งบนขอบเตียง ใบหน้าเจือด้วยความตระหนก โมไนยไม่ได้หลับแต่หมดสติ สินธพลุกพรวดวิ่งออกจากห้องพี่ชาย
“พี่วิไลขอยาหอมกับยาดมด่วน พี่ดวงขอผ้ากับน้ำเดี๋ยวนี้”
“คุณไนยเป็นอะไรหรือครับ”
ดวงดีลุกยืน มีดหั่นผักยังอยู่ในมือ วิไลถือทัพพีหันมาจ้องหน้านายน้อยของบ้าน พวกเขาไม่ต้องถามว่าใครเป็นอะไรเพราะสิ่งที่สินธพขอจากพวกเขาใช้ปฐมพยาบาลคนเป็นลมและจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากโมไนย
“พี่ไนยไม่รู้สึกตัว เร็วพี่”
สินธพตอบสั้นๆ หมุนตัววิ่งออกจากห้องครัว ดวงดีวางมีดชี้มือมาที่ทัพพีในมือภรรยา หล่อนวางรวดเร็วหันไปปิดปุ่มเตาแก๊สวิ่งไปที่ตู้ยาประจำบ้าน ดวงดีเปิดซิ้งหยิบชามแก้วออกมาเปิดน้ำใส่
“วิไล ผ้าอยู่ไหน”
“นี่พี่”
วิไลหันไปเปิดตู้แขวนใส่ของใช้ในครัว หยิบผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กที่พับไว้ด้านหนึ่งอย่างเป็นระเบียบส่งให้สามี
“พี่ไปก่อน เดี๋ยวฉันตาม”
ดวงดีวิ่งออกจากครัวพร้อมชามใส่น้ำและผ้าขนหนูผืนเล็ก วิไลชงยาหอมมือสั่น ยาดมอยู่ในมือข้างหนึ่ง ความสงสัยที่ผุดขึ้นมาในสมองหาคำตอบและคาดเดากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้านายไม่ได้ หล่อนวิ่งออกจากครัวในนาทีถัดมา
กลิ่นยาดมกรุ่นอยู่ใกล้จมูก น้ำยากลิ่นคุ้นๆ ไหลลงลำคอ ดวงตาปิดสนิทขยับสองสามครั้งจึงลืม สินธพยิ้มกับดวงตาใต้หนังพังผืด
“พี่ไนย..”
“พี่เป็นอะไร”
โมไนยลุกนั่งยกมือบีบขมับส่ายศีรษะไปมา สมองทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ภาพของผีสาววาบเข้ามาในมโนสำนึก มือตกลงข้างตัว ดวงตากลอกกลิ้งอย่างหวาดกลัว
“ไม่..ไม่..ฉันไม่เจอเธอ ฉันไม่ใช่สมบัติของเธอ ไม่นะ ไม่..”
เสียงพึมพำดังขึ้นและดังจนวิไลผวา ดวงดีจับมือหล่อนบีบพยักหน้าให้หล่อนคลายความกลัว สินธพโผเข้ากอดพี่ชายไว้แน่น
“พี่ไนย พี่ไนย ไม่มีอะไรครับ ไม่มีอะไร ผมกับพี่ดวง พี่วิไลอยู่กับพี่ที่นี่ ไม่มีใครมาครับ ใจเย็นๆ นะครับ ใจเย็นๆ นะพี่”
“ใช่ครับคุณไนย ไม่มีใครเข้ามาในห้องคุณไนยได้หรอกครับ มีแต่พวกเราเท่านั้น”
ดวงดีพยักหน้าตามคำพูดของสินธพ โมไนยเห็นผีอีกแล้วและไม่ใช่ผีไม่มีญาติที่ไหนแต่เป็นผีพลอยวดี วิญญาณอาฆาตที่ไม่เคยปล่อยมือจากโมไนยแม้วันเดียว
โมไนยนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง หัวใจเต้นรัวค่อยๆ กลับคืนสู่ปกติ เขาต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้อีกนานหากไม่สู้ เขาพยายามหนีมาตลอด 10 ปีก็หนีไม่พ้น ความกลัวจู่โจมทุกครั้งที่วิญญาณพลอยวดีปรากฏตัว ภาพอดีตทำให้เขาเจ็บปวดแสนสาหัส รบกวนจิตใต้สำนึกทุกขณะ
ไม่ว่าใครก็ตามถือขวดน้ำเข้ามาใกล้ อาการของเขาจะกำเริบทันที ดิ้นรน ร้องวิงวอนอย่างน่าสงสาร สินธพรู้ว่าพี่ชายเป็นเช่นนี้เพราะอะไร ดวงดีกับวิไลก็รู้ พวกเขาจึงเลี่ยงใช้แก้วน้ำใส เหยือกน้ำและขวดในบ้านหลังนี้
ภาชนะที่ใช้บนโต๊ะอาหารเป็นแก้วเซรามิกสีดำหรือไม่ก็สีเขียว สีขาวแต่ต้องเป็นเซรามิกเท่านั้นซึ่งสามารถช่วยให้โมไนยหยุดอาการหวาดกลัวเครื่องแก้วลงได้บ้าง
“แกจะออกไปออฟฟิศกี่โมง”
ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเบาไม่มองหน้าน้องชายขณะตั้งคำถาม สินธพยิ้ม ดีใจที่ได้ยินคำถามของพี่
“ผมนัดพวกนั้นไว้เก้าโมงเช้าครับ พี่จะไปกับผมใช่มั้ย”
“ฮื่อ..ขอพี่อาบน้ำก่อน”
คำตอบรับสั้นแต่เรียกรอยยิ้มให้กับคนสามคนที่นั่งจ้องมองเจ้าของห้องอยู่ เสียงถอนใจเฮือกดังขึ้น สินธพจึงพยักหน้าให้ดวงดีกับวิไลออกจากห้อง
วันนี้โมไนยกล้าเผชิญหน้ากับคนภายนอกที่ไม่ใช่คนงานในไร่ก็ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับสินธพ หากวันต่อๆ ไปโมไนยยอมออกจากบ้านโดยไม่รู้สึกหวาดกลัวนั่นจะเป็นข่าวดีที่สุดในชีวิตของน้องชายและพ่อแม่ซึ่งพวกเขารอวันนั้นอย่างมีความหวัง
ศาลาประชุมคนงานของไร่นับดาวจัดตั้งโต๊ะไว้ต้อนรับคณะของเกษตรอำเภอซึ่งสินธพให้คนงานบอกต่อๆ กันไปว่าเกษตรอำเภอจะมาแนะนำการทำปุ๋ยหมักอย่างถูกวิธี นอกจากคนงานในไร่ ชาวบ้านใกล้เคียงกับไร่มารวมตัวที่ศาลา
แต่การมาเยี่ยมไร่พร้อมกับนำวิชาการมาสอนชาวไร่ชาวสวนของเกษตรอำเภอรวมทั้งหมอประจำโรงพยาบาลชุมชนออกมาตรวจรักษาให้ชาวบ้านฟรีรู้ถึงพิพรรธเจ้าของไร่ปุยเมฆ เขาส่งคนงานปะปนมากับชาวบ้านเพื่อล้วงความลับของไร่นับดาว ทุกความเคลื่อนไหวภายในไร่เขาต้องรู้
เขาต้องการเห็นใบหน้าอัปลักษณ์ของโมไนย อยากเห็นหน้าผีในร่างของคน การแก้แค้นของเขาใกล้เข้ามาทุกขณะ ความอดทนใกล้สิ้นสุดลงแล้ว
“มันกล้าออกมาพบคนข้างนอก มันอยากเปิดใบหน้าผีของมันแล้วละสิ ได้เลยไอ้โมไนย ฉันจัดให้”
“นายว่าอะไรครับ จะให้ผมจัดอะไรครับ”
โบ๊ทเดินเข้ามายืนตรงหน้าพิพรรธ ค้อมตัวเล็กน้อย
“ประโยชน์มันเข้าไปอยู่ในกลุ่มชาวบ้านแล้วใช่มั้ย”
พิพรรธมองลูกน้องคนสนิทที่ดูแลไร่ของเขาให้เป็นรูปเป็นร่างแต่ก็แข่งไร่นับดาวไม่ได้สักปี ผลผลิตออกมาด้อยกว่าไร่ของโมไนยทุกครั้ง เขาหาวิธีปรับปรุงพันธุ์พืชแต่ไม่ได้ผล หยกสืบหาข้อมูลจากไร่นับดาวปรากฏว่าพันธุ์พืชเหมือนกันแต่วิธีการให้ปุ๋ยและดูแลนั้นต่างไปจากไร่ปุยเมฆ
พิพรรธให้คนของเขาตีสนิทกับคนงานไร่นับดาว หลอกถามการดูแลรักษาพืชในไร่ทุกอย่างแล้วนำมาปรับปรุงไร่ตัวเองแต่ก็ยังสู้ไม่ได้อาจเป็นเพราะเจ้าของไร่ไม่ลงมือเองเช่นเดียวกับสินธพที่ช่วยคนงานทำไร่ให้ปุ๋ย ฉีดยา ให้น้ำ เมื่อมีปัญหาเกิดกับพืชที่ปลูก เขาจะรู้ทันทีและหาวิธีแก้ไขเร็วที่สุด
ประสบการณ์ทำไร่ของพิพรรธอยู่ที่คำบอกเล่าของคนงานและเรียนรู้จากข้อมูลในหนังสือ นำมาปฏิบัติตามนั้นทุกอย่างไม่มีการพลิกแพลงเพิ่มเติม ยิ่งเห็นไร่นับดาวมีแต่ผลผลิตเพิ่มขึ้นทุกขณะ พิพรรธยิ่งโกรธและอยากทำลายมากขึ้นเท่านั้น
“ครับนาย ให้มันล้วงความลับจากคนงานไร่นั้นมามากที่สุดตามที่นายเคยบอกครับ”
“จะไปล้วงอะไรมันอีก รู้มาหมดแล้วไม่ใช่หรือ คราวนี้ให้มันดึงผ้าคลุมหน้าไอ้โมไนยออกให้ได้แค่นั้นพอ”
“ดึงผ้าคลุมหน้า ดึงทำไมครับ นายอยากเห็นหน้าไอ้โมไนยหรือครับ”
โบ๊ทย่นหัวคิ้วกับคำสั่งใหม่ของนาย ฟังแล้วเหมือนกับเด็กกำลังเล่นซ่อนหาเตรียมเปิดผ้าที่ซ่อนอยู่ให้เห็นอย่างนั้น
“ใช่ ฉันอยากเห็นหน้ามันว่าจะเหมือนผีนรกมากแค่ไหน”
“ผีนรกหรือครับ”
“เออ ผีนรก แกจะได้เห็นหน้าผีของมัน ที่มันปิดหน้าไม่ให้ใครเห็นเพราะหน้ามันน่าเกลียดน่ากลัว มันเป็นปีศาจ”
พิพรรธหัวเราะอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุกที่พูดถึงใบหน้าของโมไนย โบ๊ทไม่เข้าใจกับกริยาของเจ้านาย น้ำเสียงและสายตาของนายขณะนี้ทั้งโกรธและพอใจกับบางอย่าง เสียงหัวเราะเงียบไป ใบหน้าเครียดแทรกเข้ามาแทนที่
“ให้ไอ้ประโยชน์มันเข้าใกล้ไอ้โมไนยมากที่สุดแล้วดึงผ้าออกจากหน้ามันต่อหน้าพวกเกษตรอำเภอ”
“ครับนาย”
โบ๊ททำตามที่พิพรรธออกคำสั่งทันที เขายกโทรศัพท์แนบหู ครู่เดียวเสียงกระซิบดังมาจากโทรศัพท์
“อะไรอีกวะ กูอยู่ในศาลาประชุมแล้ว”
“นายให้มึงเข้าไปดึงผ้าคลุมหน้าไอ้โมไนยออก”
“จะบ้าเหรอ เข้าไปได้ยังไง ไม่มีใครเข้าใกล้มันได้หรอก คนงานนั่งห่างจากโต๊ะด้านหน้า ห้ามเข้าไปใกล้”
“ก็หาวิธีสิวะ นี่เป็นคำสั่งนายนะโว้ย”
“เออๆ จะพยายาม แค่นี้นะ พวกมันมากันแล้ว”
“พวกมัน ใครวะ”
“ไอ้บ้าเอ๊ย ก็พวกเกษตรอำเภอกับเจ้าของไร่สิวะไอ้โง่”
ประโยชน์กดวางสายก่อนโบ๊ท คำสั่งของพิพรรธมันยากเกินกว่าที่เขาจะทำได้ หากเขาเข้าใกล้โมไนยต้องถูกจับได้ว่าไม่ใช่คนงานไร่นี้ เขาไม่เสี่ยงให้ตัวเองถูกจับอย่างแน่นอนแต่เมื่อคิดถึงพิพรรธ ความโกรธของนายไม่เหมือนคนอื่น พิพรรธลงโทษลูกน้องราวกับเป็นทาส ทำร้ายให้เจ็บทั้งกายและใจ ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งได้สักคน
“กูจะทำยังไงวะเนี่ย”
“บ่นอะไรวะ ฟังคุณสินสิวะ”
คนงานนั่งอยู่ใกล้ๆ พูดข้างหูประโยชน์ เขาหันมายิ้มแล้วรีบหลบสายตาที่จ้องมา
“ไม่เคยเห็นหน้ามึงนี่หว่า ไม่ใช่คนงานในไร่ใช่มั้ยวะ”
“ชาวบ้าน มาดูทำปุ๋ย”
“อ๋อ..”
บุญเกิดพยักหน้าไม่สนใจคนนั่งข้างๆ อีก ชาวบ้านมาตามคำเชิญของเกษตรอำเภอ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ชาวบ้านเข้ามาร่วมกิจกรรมกับคนในไร่นับดาวและเป็นครั้งแรกที่นายใหญ่ของไร่ปรากฏตัวต่อหน้าคนงานทุกคนในศาลาที่ประชุมแต่ นายใหญ่ปิดใบหน้ามิดชิดมีเพียงลูกตาเท่านั้นที่ทุกคนมองเห็น
ทีมเกษตรอำเภอกับหมอประจำโรงพยาบาลชุมชนเดินเข้ามาในศาลา โมไนยจ้องมองหญิงสาวผมยาวมัดเป็นหางม้า ปรอยผมละอยู่ข้างแก้มเนียนทั้งสองข้าง คิ้วโก่ง ดวงตาสีเข้ม จมูกโด่งไม่มากนัก ปากหยักรูปกระจับสีชมพู รอยยิ้มที่หล่อนส่งมาให้ทุกคนนั้นราวกับเปิดโลกดำมืดให้สว่างในพริบตา
ใจดีเดินมาหยุดยืนหน้าโต๊ะที่จัดไว้สำหรับพวกหล่อน รอยยิ้มสดใสนั้นยังไม่จางไปจากใบหน้าสวยแต่พอสายตาของหล่อนเลื่อนมาถึงชายหนุ่มร่างสูงคลุมหน้าด้วยหมวกผ้า หล่อนยิ้มเช่นเดิมแต่จ้องตาที่อยู่ในช่องผ้าเหมือนจะถามบางอย่าง