4 ภาระให้เครียด
เมื่อกลับมาถึงซานเหอ หลี่เฟิ่งหมิงเอาแต่นั่งซึมไม่พูดไม่จา เส้าหยุนหลานผู้เป็นมารดาเห็นแล้วอดสงสัยไม่ได้ พระธิดาของนางที่ปกติชอบวิ่งเล่นซุกซนตอนนี้กลายเป็นเด็กเก็บตัว คล้ายกับมีเรื่องอะไรให้กังวลใจ
อากาศของซานเหออบอุ่นตลอดทั้งปี พระองค์กลับเห็นพระธิดาเอาแต่ต้องมองเสื้อคลุมหนังสัตว์ตัวนั้นบ้างก็เอามาใส่และกอดเอาไว้ ซ้ำยังมีตุ๊กตาลูกไก่ที่ทำจากไม้สองตัว หวีอันเล็ก ๆ ที่เก็บเอาไว้ในกล่องเป็นอย่างดี เดี๋ยวครู่หนึ่งเปิดออก เดี๋ยวครู่หนึ่งปิดลง เดี๋ยวถอนหายใจ เดี๋ยวเอามือเท้าคาง เห็นแล้วก็อดขบขันกับท่าทางเช่นนั้นของนางไม่ได้
“องค์หญิงของแม่ มีภาระใหญ่หลวงอะไรกันนะ เหตุใดตั้งแต่กลับจากตำหนักระหว่างแคว้น จึงได้เอาแต่นั่งถอดถอนใจเช่นนี้” เส้าฮองเฮาเห็นแล้วก็อดแซวไม่ได้
“เฮ้อ” นางไม่ได้ตอบแต่ถอนหายใจ
ครู่หนึ่งแมวสามสีขนปุกปุย คงจะรับรู้ได้ถึงความกังวลใจของผู้เป็นเจ้านายมันเดินไปนั่งคลอเคลียอยู่ข้าง ๆ ไม่ห่างกาย เดิมทีเด็กคนนี้เมื่อเห็นเจ้าถั่วก็จะยื่นมือมาเกาคาง เกาพุงบ้างตามประสา แต่วันนี้แม้แต่เจ้าถั่วที่เคยเป็นที่โปรดปรานก็ยังเข้าหน้าไม่ติด
“น่าสงสารเจ้าถั่ว เจ้านายไม่รักเจ้าแล้ว” เส้าฮองเฮาเดินไปอุ้มแมวสามสีมาไว้กับพระองค์เอง
“เสด็จแม่ ลูก...เฮ้อ...” นางพูดไปได้ไม่กี่ประโยคก็ถอนหายใจทิ้ง
“อะไรกัน มีอะไรแบกเอาไว้อยู่บนบ่างั้นเหรอ” พระมารดาตรัสถาม
“หม่อมฉันต้องแต่งงานกับเสด็จพี่เซียวหยวนจริง ๆ เหรอเพคะ” ตั้งแต่กลับจากตำหนักระหว่างแคว้น ไม่มีวันไหนที่นางลืมเขาได้เลยสักวัน
ครั้นได้ยินประโยคที่พระธิดาเป็นคนกล่าว เส้าฮองเฮาก็เอาแต่เม้มปากกลั้นหัวเราะ ตัวแค่นี้กลับทุกข์เพราะความรักแล้วหรือนี่
“ทำไมหรือ เจ้าไม่อยากแต่งงานกับเขางั้นหรือ”
“ไม่รู้สิเพคะ หม่อมฉันเองก็ชอบเขา แต่หม่อมฉันอายุเท่านี้เอง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรักคืออะไร มันไม่เร็วไปสำหรับเด็กอายุเจ็ดขวบหรือเพคะ” หลี่เฟิ่งหมิงไม่เข้าใจ
“งั้นพวกเราชะลอเรื่องนี้กันออกไปก่อนดีหรือไม่ ไว้รอให้พวกเจ้าทั้งสองเติบโตขึ้นอีกสักหน่อย ถึงเวลานั้นค่อยมาตัดสินใจกันอีกที” เส้าฮองเฮาเองก็ลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิท การแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้ถามความสมัครใจของเด็ก ๆ เลยสักคำ ว่าพวกเขาอยากแต่งกันหรือไม่ เอาแต่ใจและความคิดของผู้ใหญ่ เพียงเพราะคำสัญญาในสมัยที่พวกเขายังเป็นหนุ่มสาว
“งั้นเหรอเพคะ” ได้ฟังแล้วแทนที่นางจะสบายใจขึ้น แต่สิ่งที่พระมารดาตรัสออกมานั้นไม่ได้ทำให้นางคลายความทุกข์ในใจได้เลย
“อย่าคิดมากเลยเด็กดีของแม่ ไว้รอเจ้าโตกว่านี้ค่อยคิดมากกว่านี้ก็ไม่สาย” ในวันข้างหน้าจะมีเรื่องราวมากมายให้นางต้องคิดทุกวัน ตอนนี้ให้คิด ให้วิ่งเล่นสนุก ตื่นมาแล้วกิน เรียนหนังสือ แล้วก็นอน อย่างเช่นเด็กทั่วไปน่าจะดีกว่า พอคิดมาถึงจุดนี้ นางและพวกผู้ใหญ่ไม่ไปน่าเร่งรัดและกดดันเรื่องพรรค์นั้นกับเด็กตัวเล็ก ๆ เลย
“...” เด็กหญิงบึนปากอย่างไม่สบายใจ
“มาเถอะเด็กดี มาเตรียมตัวเอาไว้ก่อน วันนี้เสด็จพ่อจะมาเสวยพระกระยาหารที่ตำหนัก เรื่องนี้ไว้ถามเสด็จพ่อของเจ้าอีกทีก็ยังไม่สาย”
“เพคะ” กล่าวจบพระมารดาก็ส่งเจ้าถั่วแมวสามสีคืนเจ้าของ นางรับมาแล้วกอดรัดเจ้าแมวตัวอ้วนกลมอย่างแนบแน่น มันเองก็รู้ความยอมให้นางกอดโดยไม่โวยวาย
ครั้นถึงยามโหย่ว ฮ่องเต้หลี่เว่ยเมื่อเสร็จงานราชกิจก็มุ่งหน้าไปยังตำหนักฮองเฮา ได้ยินว่าวันนี้นางมีเรื่องน่ายินดีจะบอกแก่เขา ตั้งแต่กลับมาจากตำหนักระหว่างแคว้น ก็มัวแต่วุ่นวายกับงานที่วางกองอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรจนลืมวันลืมเวลาไปเสียหมด
เมื่อมาถึงตำหนัก เขาเดินเข้าไปด้านใน เห็นพระธิดานั่งเล่นกับแมวสามสี
“เด็กดี พ่อมาแล้ว”
พอได้ยินพระสุรเสียงของเสด็จพ่อ หลี่เฟิ่งหมิงก็ผละจากแมวตัวอ้วนกลม วิ่งเข้าไปออดอ้อนให้พระองค์อุ้มในทันที
“เสด็จพ่อ” นางกอดคอพระองค์แน่น
“ไม่ได้เจอหน้ากันไม่กี่วัน เจ้าตัวหนักขึ้นแล้วรู้หรือไม่” พระองค์คาดคะเนน้ำหนักของพระธิดา เมื่อก่อนนั้นนางตัวเบากว่านี้ “ต่อไปต้องตัวสูงกว่านี้แน่ ๆ”
“เพคะ หม่อมฉันจะกินให้เก่ง ๆ จะได้ตัวสูง ๆ จะได้ปกป้องเสด็จพ่อเสด็จแม่” เด็กหญิงออดอ้อนพระบิดา
“ว่าแต่แม่เจ้าล่ะ”
กล่าวยังไม่ทันจบเส้าหยุนหลานก็ปรากฏตัว
“หม่อมฉันอยู่นี่ วางลูกลงก่อนเพคะ” เส้าหยุนหลานกล่าว แล้วเดินไปปลดเสื้อคลุมสีทองฉลองพระองค์ลายมังกรออกให้อย่างระมัดระวัง ส่วนเด็กหญิงเดินเลี่ยงออกไปรอที่โต๊ะอาหาร
“ว่าแต่ เจ้าบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกข้า สำคัญขนาดไหนเชียว” หลี่เว่ยหอมแก้มภรรยาไปหนึ่งครั้ง
“พอแล้วเดี๋ยวลูกเห็น” พระปรางของฮองเฮาเป็นสีแดงระเรื่อเพราะความเขินอาย
หลี่เว่ยไม่ได้ทำแค่เพียงหอมแก้มแต่ยังโถมตัวกอดนางจากด้านหลัง
“ตกลงข่าวดีที่เจ้าว่าคืออะไร”
ผู้เป็นภรรยาขยับตัวหันหน้าไปสบพระพักตร์ของสามี แล้วประคองเอาไว้ในหัตถ์ของตนเอง มองลึกเข้าไปในพระเนตรสีดำอย่างรักใคร่
“ฝ่าบาท เสี่ยวหมิงกำลังจะมีน้องแล้วนะเพคะ” เส้าหยุนหลานกระซิบเบา
หลี่เว่ยมองหน้าภรรยาของตนเองสลับกับหน้าท้องที่ยังแบนราบ สายตาคล้ายไม่เชื่อกับว่านี่เป็นเรื่องจริง
“เจ้าบอกว่าเวลานี้กำลังตั้งครรภ์น้องของเสี่ยวหมิงอย่างนั้นหรือ”
“เพคะ หม่อมฉันกำลังจะมีโอรสธิดาให้พระองค์อีกหนึ่งคนเพคะ”
หลี่เว่ยยิ้ม กอดภรรยาแน่นกว่าเดิม
“เจ็ดปีพวกเรารอมาเจ็ดปี ในที่สุดเจ้าก็ตั้งครรภ์น้องให้เสี่ยวหมิง ดีเหลือเกิน ดีเหลือเกิน” หลี่เว่ยตะโกนเสียงดังลั่น
“เสด็จพ่อเสด็จแม่ทำอะไรกันอยู่เพคะลูกหิวแล้ว” เด็กหญิงได้ยินเสียงผู้ใหญ่คุยกันอยู่นานสองนานไม่ยอมเดินออกมาเสียที จึงตะโกนส่งเสียง
“ดูสิ เจ้าตัวร้ายโวยวายแล้ว” หลี่เว่ยกล่าวกับภรรยา
“งั้นเราก็ออกไปเถอะเพคะ ปล่อยให้เด็กโมโหหิวไม่ดีนัก” เส้าหยุนหลานจัดแต่งเสื้อผ้าให้พระสวามีเสร็จแล้วก็จูงมือกันออกไป
มื้อเย็นผ่านพ้นไปพร้อมกับข่าวดีเรื่องการทรงพระครรภ์ของฮองเฮา ข่าวอันเป็นมงคลถูกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว สร้างความปลาบปลื้มปีติไปทั่วทั้งแผ่นดิน