บท
ตั้งค่า

3 เจ้าตัวเล็ก

นางตัวเล็กมาก น่าจะตัวเล็กกว่าเยว่ซินเสียอีก อายุน้อยกว่าเขาสามสี่ปี แต่ฉลาดหลักแหลมกว่าที่เขาคิดเอาไว้ คราแรกคิดว่านางคงจะเป็นองค์หญิงเอาแต่ใจ อาจจะมีนิสัยอย่างผู้ที่ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก เหมือนกับบรรดาพี่น้องต่างมารดาของเขา แต่เปล่าเลย ฉลาดและรู้ความ เข้าใจแล้วว่าทำไม เสด็จแม่จึงอยากได้นางเป็นลูกสะใภ้นักหนา แต่จะทำอย่างไรได้ก็ในเมื่อเขามั่นใจว่าตนนั้นชอบเยว่ซิน

เด็กชายมองไปยังโต๊ะฝั่งตรงข้าม เจ้าตัวเล็กนั่งโงนเงนไปมา พยายามรักษามารยาทอย่างที่สุด เห็นแล้วรู้สึกหงุดหงิดใจและน่าเบื่อ หากเยว่ซินอยู่ที่นี่ นางคงตะโกนโหวกเหวกโวยวาย จับมือพาเขาออกไปวิ่งเล่นนอกตัวอาคารแล้ว

“เฮ้อ” ลั่วเซียวหยวนถอนหายใจ “ออกไปเล่นข้างนอกกันเถอะ นั่งอยู่ที่นี่น่าเบื่อจะตายไป” เด็กชายลุกขึ้นเหยียดแผ่นหลังตั้งตัวตรง

“เพคะ” หลี่เฟิ่งหมิงสะลึมสะลือพยายามถ่างตาเอาไว้ให้ได้มากที่สุด “เมื่อครู่เสด็จพี่เซียวหยวนว่าอย่างไรนะคะเพคะ”

“ข้าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกใครอยากจะตามไปด้วยก็ลุกออกมา” เมื่อครู่นางคงยังไม่ได้ยินว่าเขากล่าวอะไร

“หม่อมฉันไปได้เหรอเพคะ” เด็กหญิงตัวเล็กถามเสียงใส

“ใครห้ามเจ้ากันล่ะ” ลั่วเซียวหยวนมองหน้าเด็กหญิงสลับกับพี่เลี้ยงของนางที่ชื่ออาเหวิน “หรือเป็นเจ้าที่ห้ามนาง”

“หม่อมฉันมิกล้า” พอถูกตำหนิอาเหวินก็ก้มหน้างุด จัดแต่งเสื้อผ้าให้องค์หญิงของตนเอง

“เห็นไหมไม่มีใครห้ามแล้ว จะไปหรือไม่ไป”

“เพคะเสด็จพี่เซียวหยวน” พอได้รู้ว่าได้ออกไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายหลี่เฟิ่งหมิงก็ดีใจ รีบลุกขึ้นกางแขนกางขาให้พี่อาเหวินแต่งตัวให้นางให้เรียบร้อย

ลั่วเซียวหยวนหรี่ตามองไปยังจุดที่พวกนางนั่งอยู่ พลางก้าวเดินช้า ๆ รอนาง ตัวก็เล็กขาก็สั้น จะได้เดินสักกี่ก้าวกันเด็กชายกลอกตาไปมา สักพักหนึ่งจึงได้ยินเสียงฝีเท้าเล็ก ๆ ของนางวิ่งตึกตักตามหลังมายืนอยู่เบื้องหลังเขา

“มานี่สิ” เขาส่งมือให้นาง นางยื่นมือมารับ มือของนางเล็กมาก เล็กมากเหมือนกับมือของตุ๊กตาไม่มีผิด “วัน ๆ หนึ่งเจ้าได้กินข้าวบ้างหรือไม่”

“กินนะเพคะ” นางตอบซื่อ ๆ

“แล้วทำไมเจ้าทั้งตัวเล็กและเตี้ยขนาดนี้”

เด็กหญิงพิจารณาสิ่งที่เขากล่าวกับนาง “ตกลงเสด็จพี่เซียวหยวนกำลังด่าหม่อมฉันหรือเพคะ”

“เปล่าเสียหน่อย ข้าไม่ได้ด่าเจ้า แต่...แค่อยากรู้ว่าทำไมเจ้าจึงตัวเล็กต่างหาก” ลั่วเซียวหยวนแก้ต่างให้กับตนเอง

“ถ้าเป็นห่วงก็ต้องตรัสถามหม่อมฉันด้วยถ้อยคำที่สุภาพกว่านี้สิเพคะ พระองค์ตรัสเช่นนั้น ไม่ต่างอะไรจากการด่าว่าหม่อมฉันทั้งตัวเล็กและน่าเกลียด” หลี่เฟิ่งหมิงหน้ามุ่ย

“ใครบอกเจ้าน่าเกลียดกัน เจ้าอย่าตีความผิด ๆ สิ”

“เพคะ!!” หลี่เฟิ่งหมิงเน้นเสียง

ลั่วเซียวหยวนส่ายศีรษะ จูงมือเด็กหญิงที่ตัวเล็กกว่าไปหยุดอยู่ที่โถงกลาง ตอนที่มือของลั่วเซียวหยวนคว้าข้อมือของนางเอาไปกุม เด็กหญิงลอบพิจารณาสังเกตองค์ชายรัชทายาทแห่งฉีหลินไปพลาง ที่ข้อมือข้างซ้ายของเขามีรอยปานสีแดงจาง ๆ รูปร่างคล้ายกับดอกมู่ตาน นิ้วมือเรียวยาว คิ้วคมเข้ม มีนัยน์ตาดอกท้อน่าหลงใหล จมูกโด่งเป็นสัน ในวันข้างหน้าเขาคงจะเป็นบุรุษ ที่ทำให้สตรีน้อยใหญ่ในหล้านี้พร่ำเพ้อถึงเป็นแน่

ผู้ใหญ่ในห้องเมื่อได้ยินว่าเด็ก ๆ ขอเข้าพบ จึงหยุดบทสนทนาและอนุญาตให้พวกเขาเข้ามา

“อยู่ด้วยกันครู่เดียวสนิทกันแล้วงั้นหรือ” ฉีว่านอี้เสด็จแม่ของลั่วเซียวหยวนอดตรัสแซวบุตรชายไม่ได้ พอเห็นว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาดีอย่างรวดเร็วก็คลายความกังวลใจ

เด็กสองคนไม่ได้พูดอะไรปล่อยให้ผู้ใหญ่เป็นผู้กล่าว

“ว่าแต่พวกเจ้าสองคน จูงมือกันมาตั้งท่าเตรียมตัวจะไปไหนกัน” ฮ่องเต้ลั่วเฟิ่งตรัสถามพระโอรส

“ทูลเสด็จพ่อ กระหม่อมเห็นว่าที่นี่ไม่มีอะไรทำ เลยคิดว่าจะพานางออกไปเดินเล่นที่ตลาดแก้เบื่อ” เด็กชายกราบทูล

ลั่วเฟิ่งผินหน้าไปมองพระสหายต่างแคว้น อย่างขอความคิดเห็น

“ไปได้แต่กลับมาก่อนฟ้ามืดนะรู้ไหม อากาศของที่นี่เมื่อพลบค่ำนั้นหนาวเย็นนัก เสี่ยวหมิงเองก็เพิ่งจะหายป่วย” เส้าหยุนหลานเห็นว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จึงอนุญาตให้เด็ก ๆ ทั้งสองออกไป

“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จอา กระหม่อมสัญญาจะพานางกลับมาก่อนพลบค่ำ”

เมื่อได้รับอนุญาต เด็กชายและเด็กหญิงต่างก็จับมือพากันขึ้นไปนั่งบนรถม้าที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ชายแดนของสองแคว้น ตอนนี้เป็นเวลาคล้อยบ่ายแล้ว เขาและนางมีเวลาเที่ยวเล่นไม่กี่ชั่วยาม ยิ่งเข้าใกล้เมืองความครึกครื้นก็เพิ่มมากขึ้น พ่อค้าจากต่างถิ่นแต่งตัวแปลกประหลาด นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่เฟิ่งหมิงได้มาเที่ยวเล่นตลาดต่างแคว้น

“คนเยอะจังเลยนะเพคะ” หลี่เฟิ่งหมิงกล่าว พร้อมกับยื่นหน้าออกไปนอกรถม้าชื่นชมความคึกคัก

“อยู่ข้างนอก เจ้ากับข้าคุยกันธรรมดาก็พอ เรียกข้าว่าแค่พี่เซียวหยวน” เขากล่าวกับนางแล้วหันไปบอกกล่าวกับคนของนาง “ส่วนพวกเจ้าเรียกข้าว่าคุณชาย ส่วนนางคือคุณหนู ที่นี่ผู้คนพลุกพล่าน พวกเจ้าต้องจับจ้องนางอย่าให้คลาดสายตา” รัชทายาทแห่งฉีหลินออกคำสั่ง

“เพคะ หม่อมฉันทราบแล้ว” อาเหวินรับคำ

เขาพานางเที่ยวไปทั่วทั้งตลาด หลี่เฟิ่งหมิงวัน ๆ ใช้ชีวิตอยู่ในแต่พระราชวังของตนเองนาน ๆ ที จะได้ออกไปเที่ยวเล่นในตลาดเมืองหลวงแห่งซานเหอ นางเองก็จำความรู้สึกพวกนั้นไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตอนนั้นรู้สึกเช่นไร ถึงตลาดการค้าของชายแดนจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับที่เมืองหลวง แต่กระนั้นก็ครึกครื้นมีชีวิตชีวาอย่างที่สุด

ลั่วเซียวหยวนพานางไปหยุดอยู่ร้านนั้นทีร้านนี้ที เห็นของกินอะไรน่าอร่อยก็ซื้อให้นางเสียทุกอย่าง หลี่เฟิ่งหมิงกินจนท้องจะแตก

“พี่เซียวหยวน ข้ากินขนมที่ท่านซื้อให้ไม่ไหวแล้ว” หลี่เฟิ่งหมิงรู้สึกอึดอัดท้อง เสื้อผ้าที่นางสวมใส่อยู่รู้สึกคับขึ้นมาถนัดตา

“งั้นเหรอ” เขานึกถึงซินเอ๋อนางกินได้ทุกอย่างที่เขาซื้อให้ แถมยังกินหมดไม่มีเหลือ แต่กับเจ้าตัวเล็กที่เขาพาออกมาด้วยกลับกินได้อย่างละนิด อย่างละหน่อย

“เจ้าค่ะ”

“ก็ได้ ๆ ข้าไม่บังคับเจ้าแล้ว งั้นเราก็เดินเล่นเฉย ๆ ก็ได้”

วันเวลาผ่านไปแค่เพียงหนึ่งสัปดาห์ เขาและนางสนิทกันโดยไม่รู้ตัว แล้วก็ถึงเวลาที่ทั้งสองคนต้องแยกย้ายกันกลับไปยังแผ่นดินของตนเอง

“เสด็จพี่เซียวหยวน ข้าคืนเสื้อคลุมให้ท่าน”

“ไม่ต้องหรอก เจ้าเก็บไว้เถอะ”

บทสนทนาของเด็กสองคนพานทำให้ผู้ใหญ่ที่ยืนไม่อยู่ห่างพลอยมีความสุขไปด้วยแสดงว่าการพาทั้งคู่มาพบหน้ากันในเวลานี้ถือเป็นเรื่องดี

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel