2 ใช่เรื่องที่จะปฏิเสธได้
ตำหนักรับรองตั้งอยู่ตรงพื้นที่ที่เป็นจุดกึ่งกลางชายแดนระหว่างแคว้นแคว้นฉีหลินและแคว้นซานเหอ ตัวอาคารทำจากไม้ทั้งหลังถูกทาด้วยสีแดงสดใส ประตูไม้บานใหญ่แกะสลักด้วยรูปเทพเจ้าน่าเกรงขาม ตรงบันไดทางเข้ามีราชสีห์หินแกะสลัก ขนาดใหญ่ตั้งอยู่สองข้างทาง เมื่อเข้าไปด้านในมีลานโล่งกว้างที่ปูด้วยศิลาสีขาว ตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมขนาดเท่ากัน ผู้ใหญ่สี่คนสนทนากันสนุกสนานระหว่างเดินไปยังโถงรับรอง ครู่หนึ่งเหมือนพวกเขาจะนึกขึ้นได้ว่ามีเด็กสองคนเดินตามต้อย ๆ จึงให้พี่เลี้ยง นำพาไปยังสถานที่ที่จัดเอาไว้สำหรับเด็ก ๆ
หลี่เฟิ่งหมิงเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย เมื่อได้รับคำสั่งให้ทำอะไรก็ทำโดยไม่ปฏิเสธ ส่วนลั่วเซียวหยวนทำท่าฟึดฟัดอย่างไม่สบอารมณ์ แต่กระนั้นก็ยินยอมเดินตามไปอยู่ดี
เมื่อเดินพ้นออกมาพบว่าพี่เลี้ยงพาพวกนางมายังห้องนั่งเล่นขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ อยู่แยกออกมาทางปีกด้านเหนือ ส่วนผู้ใหญ่อยู่ตรงโถงกลาง ที่นี่มีน้ำตกจำลอง ต้นไม้ขนาดใหญ่ ที่มีชิงช้าผูกอยู่เอาไว้กับกิ่งขนาดใหญ่ มีสวนหินที่แซมประดับด้วยไม้ดอกนานาพันธุ์ หลี่เฟิ่งหมิงมองรอบ ๆ ตัวอย่างไม่กล่าวอะไร ส่วนเด็กชายที่อายุมากกว่านาง ตั้งแต่เดินเข้ามาที่นี่เอาแต่ทำตัวกระฟัดกระเฟียดอย่างไม่พอใจ เดี๋ยวเตะก้อนหิน เดี๋ยวพังกอดอกไม้
เด็กหญิงได้แต่มองตาปริบ ๆ ไม่เอ่ยปากกล่าวสิ่งใด เขาอยากจะทำสิ่งใดก็ปล่อยให้ทำไป นางไม่ยุ่ง ใช่ว่ามีเขาคนเดียวที่ไม่อยากแต่งงาน นางเองก็เช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะคำสัญญาที่มีมาแต่นมนานนางคงปฏิเสธไปแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งคือทั้งเขาและนางใช่อยู่ในสถานะที่จะตัดสินใจเรื่องใดได้ด้วยตัวของตนเอง หน้าที่ แผ่นดิน ภาระ และความสุขของประชาชน ใช่เรื่องที่จะมาพูดกันเล่น ๆ ได้เสียเมื่อไร
หลี่เฟิ่งหมิงแต่เดิมร่างกายไม่แข็งแรง พอได้พบกับลมหนาวของฉีหลินปะทะเข้าหน่อย จมูกกลายเป็นสีแดงระเรื่อ มีน้ำมูกไหลออกมา แก้มป่อง ๆ ของเด็กหญิงกลายเป็นสีแดง มือสั่นเล็กน้อย
“องค์หญิงหนาวหรือเพคะ” นางกำนัล ผู้เป็นพี่เลี้ยงของหลี่เฟิ่งหมิงถามอย่างห่วงใย “ตายจริงหม่อมฉันไม่คิดว่าที่นี่จะหนาวเลยไม่ได้เตรียมเตาพกให้พระองค์” อาเหวินสุดแสนจะเป็นห่วง พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าช่วยเช็ดน้ำมูกที่ไหลออกมาอย่างไม่รังเกียจ
“...” หลี่เฟิ่งหมิงไม่ได้ตอบคำถาม ได้แต่พยักหน้า ถ้านางร่างกายแข็งแรงกว่านี้คงจะดีไม่น้อย
“งั้นหม่อมฉันให้คนจุดเตาทำความร้อนเพิ่มให้ดีหรือไม่ อากาศจะได้อุ่นขึ้น” อาเหวินกล่าวยังไม่ทันจบ เด็กชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันก็พูดโพล่งออกมาเสียงดัง
“ร้อน ที่นี่อากาศร้อนเหลือเกิน” ลั่วเซียวหยวนจ้องไปยังจุดที่หลี่เฟิ่งหมิงนั่งอยู่ เขาเห็นแล้ว ใบหน้าน่ารักนั่นกำลังเป็นสีแดง มีน้ำมูกไหลย้อยออกมาเล็กน้อย อะไรกันอากาศตอนนี้ไม่ได้เรียกว่าหนาวเลยด้วยซ้ำ ออกจะร้อนจนเหงื่อตก
“องค์ชายรัชทายาท แต่ว่าองค์หญิงของหม่อมหนาวนี่เพคะ นางยังอายุน้อยร่างกายไม่แข็งแรง ที่ซานเหออากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี พอได้โดนกระแสลมเย็นของฉีหลินเข้าหน่อย ร่างกายจึงได้รับผลกระทบ หากพระองค์ไม่ว่าอะไร พวกหม่อมฉันของตั้งเตาให้ความอบอุ่นเพิ่มมากขึ้นได้หรือไม่เพคะ” อาเหวินพยายามต่อรอง
“อดทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทน ที่ฉีหลินหนาวกว่านี้หลายเท่า ถ้าเรื่องแค่นี้นางยังทนไม่ได้ก็บอกเสด็จอาทั้งสองให้ถอนหมั้นกันไปเสีย” ลั่วเซียวหยวนไม่ยินยอม “เจ้าดูสิ ข้าร้อนจะตายอยู่แล้ว” กล่าวจบเด็กชายก็ถอดเสื้อคลุมหนังสัตว์สีเข้มของตนเองออกโยนทิ้งออกไปด้านหน้าโต๊ะที่ตนเองนั่งอยู่ เสื้อผ้าด้านในเปียกชื้นเหงื่อไปหมดแล้ว
“พี่อาเหวินไม่เป็นไร ก็ไม่ได้หนาวสักเท่าไร” หลี่เฟิ่งหมิงไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่นางจ้องมองเด็กชายที่อายุมากกว่านางจากฝั่งตรงข้าม
ความจริงแล้ว เขาไม่เข้าใกล้กับคำว่าอัปลักษณ์อย่างที่นางเคยกล่าวเลยสักนิด รูปร่างสูงใหญ่ สูงกว่าพี่อาหยวน ใบหน้าคมคาย แต่พูดจาออกมาแต่ละประโยคแต่ละคำน่าฆ่าให้ตายนัก
อาเหวินกำลังจะอ้าปาก หลี่เฟิ่งหมิงต้องขัดขึ้นมาเสียก่อนเพราะเกรงจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ในวันข้างหน้า แค่นี้เขาก็เกลียดขี้หน้านางจะแย่อยู่แล้ว
“ไม่เป็นไรจริง ๆ ข้าไม่เป็นไรเลย อากาศมันเย็นมาก ก็แค่หาเสื้อคลุมเพิ่มอีกหนึ่งตัว” นางพูดไปสูดน้ำมูกไป ซ้ำยังจามไม่หยุดเพราะรู้สึกระคายเคือง
“งั้นเราแยกห้องดีไหมเพคะ ถ้าหากองค์ชายร้อน ก็แยกกันอยู่คนละห้องได้ยินว่าทางฝั่งใต้มีห้องรับรองอีกหนึ่งห้อง..” อาเหวินเห็นองค์หญิงของตนเองกำลังได้รับความลำบาก ก็พลันรู้สึกไม่สบายใจ แต่ไหนแต่ไรนางก็เป็นเช่นนี้ นิสัยเหมือนกับเส้าฮองเฮาไม่มีผิด ถึงจะซุกซนแต่ก็ไม่ชอบสร้างความเดือดร้อนให้ผู้ใด มีน้ำใจเป็นเลิศนางคงจะรู้ตัวว่าไม่ควรทำให้องค์ชายรัชทายาทแห่งฉีหลินไม่พอพระทัย
“อย่าวุ่นวายเลย” เด็กหญิงตอบยิ้ม ๆ ก่อนจะหันไปสนทนากับเด็กชายที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน “เสื้อตัวนั้นองค์ชายไม่ใช้แล้วใช่ไหมเพคะ” เด็กหญิงชี้นิ้วไปยังกองเสื้อคลุมหนังสัตว์ที่ลั่วเซียวหยวนเพิ่งจะโยนทิ้ง
“ใช่ ข้าทิ้งแล้ว” เขายืดอก
“งั้นยกให้หม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ” หลี่เฟิ่งหมิงขอ นางกล่าวจบก็จามอีกหลายครั้ง
เด็กชายปรายตามองเด็กหญิงที่นั่งอยู่โต๊ะฝั่งตรงข้าม ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างไม่พึงพอใจนัก
“แล้วแต่เจ้าเถอะ ข้าไม่ใช้แล้ว ของที่ข้าทิ้งแล้วใครอยากจะเก็บก็เก็บไป”
“ขอบพระทัยเพคะ” หลี่เฟิ่งหมิงส่งยิ้มอ่อนหวาน ให้กับเด็กชายฝั่งตรงข้าม พี่อาเหวินเห็นแล้วก็รีบไปหยิบเสื้อคลุมตัวนั้นขึ้นมาสะบัด ๆ แล้วสวมทับให้กับองค์หญิงของตนเอง
“...” ลั่วเซียวหยวนถอนหายใจ อย่างรู้สึกหงุดหงิดใจ เหลือบตาไปมองดูว่านางเป็นอย่างไร หน้าตาก็น่ารักดี ตัวเล็กกว่าลูกแมว และดูอ่อนแอชะมัด สู้ซินเอ๋อไม่ได้เลยสักนิด
เมื่อสวมเสื้อคลุมหนังสัตว์เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชั้น พบว่าทำให้ร่างกายของอุ่นขึ้นมาก
“ขอบพระทัยเพคะ พี่เซียวหยวน” นางทดลองเรียกเขาว่าพี่เซียวหยวน พร้อมกับกล่าวขอบคุณเสียงหวาน เขาไม่ได้ว่าสิ่งใดเพียงแต่ตอบออกมาเป็นคำว่าน่ารำคาญ
“น่ารำคาญ”