ปักษาไร้อจลา

100.0K · จบแล้ว
รอรีวัน
59
บท
1.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

อ่านว่า ปัก-สา-ไร้-อะ-จะ ปักษา = นก อจลา = แผ่นดิน นางก็เปรียบเช่นดั่งนกน้อยที่ไร้บ้านไร้แผ่นดิน ไร้ที่พึ่งพิงเมื่อยามเหนื่อยล้า หลี่เฟิ่งหมิงเติบโตมาด้วยความรัก ครอบครัวบิดามารดาล้วนแล้วแต่ชาติกำเนิดสูงส่ง รักใคร่นางประดุจสิ่งวิเศษล้ำค่า แต่กระทั่งวันหนึ่ง เด็กหญิงตัวน้อยทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ จากหงส์น้อยสูงศักดิ์ถูกเด็ดปีกร่วงหล่นลงสู่ผืนดิน แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นทุกสิ่งทุกอย่างหายวับไปกับตา หงส์น้อยผู้อ่อนแอและงดงามกลายเป็นหมากในกระดาน ไร้ที่พึ่งไร้การปกป้องคุ้มภัย ความฝันสูงสุดสองประการของนางก็คือ แค่ใครสักคนที่จำได้ว่าวันเกิดของนางคือวันใดและการวิ่งเล่นท่องเที่ยวบนทุ่งหญ้าอย่างอิสระและไร้กฎเกณฑ์บีบบังคับก็เท่านั้น

นิยายรักโรแมนติกนิยายย้อนยุคราชวงศ์/ชนชั้นเจ้าผู้ใช้ความรุนแรงคนไร้ประโยชน์สัญญาทางรักโตมาด้วยแก้แค้นกลอุบายในวัง

1 เมื่ออายุเจ็ดขวบ

ปีนี้นางอายุเจ็ดขวบ เสด็จพ่อเสด็จแม่พานางออกจากพระตำหนักเป็นครั้งแรกในชีวิต ได้ยินว่าทั้งสองพระองค์นัดพบกับคนของฉีหลินที่ชายแดนอันเป็นจุดกึ่งกลางของสองแคว้น นางจำได้ว่าทุก ๆ สองปีจะเสด็จออกมาพบปะกันสักครั้งหนึ่ง เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้น

“เสี่ยวหมิงตัวสูงแล้ว ปีนี้สามารถไปท่องเที่ยวกับพ่อกับแม่ได้แล้วนะ” เส้าฮองเฮาตรัสกับพระธิดาตัวน้อยในอ้อมแขน

“โตที่ไหนกัน ตัวยังเท่าลูกแมวอยู่เลย” ผู้เป็นพระบิดาขยับเข้าไปแย่งพระธิดาจากฮองเฮา คว้าตัวนางเข้าสู่อ้อมแขนเตรียมตัวอุ้มเด็กหญิงขึ้นรถม้า

“หม่อมฉันโตแล้วเพคะ ตัวใหญ่กว่าเจ้าถั่วตั้งเยอะ” หลี่เฟิ่งหมิงยืดอกทำท่าทางพองลมตัวสูงใหญ่

“อุ๊ย แย่จัง พ่อผิดเอง ปีนี้เสี่ยวหมิงตัวสูงแล้ว” ฮ่องเต้หลี่เว่ยตรัสขำ ๆ กับพระธิดาสุดที่รัก เพราะเจ้าตัวน้อยยืนอยู่บนรถม้า จึงทำให้เวลานี้นางตัวสูงกว่าทั้งบิดาและมารดา

ชายหนุ่มมองภรรยาและพระธิดาของตนเองด้วยสายตารักใคร่ การมีอยู่ของพวกนางทำให้เขาเปลี่ยนไปกลายเป็นคนที่ดีขึ้น

“เห็นไหมเพคะเสด็จพ่อเสด็จแม่ หม่อมฉันตัวสูงใหญ่ขนาดไหน” องค์หญิงตัวน้อยกล่าวจบ พระบิดาก็เดินขึ้นมาบนรถม้าคว้าตัวนางมาอุ้มอีกครั้ง

“ไปกันเถอะเดี๋ยวจะเลยเวลากันพอดี” ฮ่องเต้หลี่เว่ยลูบจมูกสีแดงระเรื่อของบุตรสาวเบา ๆ

ตั้งแต่ยังเด็กนางเป็นคนขี้หนาว พาขึ้นมาทางเหนือเข้าหน่อย ก็เริ่มมีอาการป่วย หลายปีที่ผ่านมาจึงไม่เคยพานางมาพบกับสหายต่างแคว้นเลยสักครั้ง ปีนี้นางแข็งแรงขึ้นมาก เติบโตขึ้นมาก ควรจะได้มาทำความรู้จักสหายเอาไว้บ้าง

ในอดีตเขากับลั่วเฟิ่งพูดคุยกันขำ ๆ ว่าถ้าหากทั้งสองฝ่ายมีบุตร ก็จะให้มาสานสัมพันธ์กันเอาไว้ หากเป็นชายและหญิงก็จะให้หมั้นหมายกัน แต่ถ้าหากเป็นเพศเดียวกันทั้งคู่ ก็จะให้รู้จักพูดคุยเป็นสหายกันเอาไว้ ปีนี้เสี่ยวหมิงของเขาอายุเจ็ดขวบแล้ว ควรจะได้มาทำความรู้จักกันเสียที

เดินทางมาราว ๆ หนึ่งสัปดาห์จึงมาถึงพระตำหนักรับรองที่ทั้งฉีหลินและซานเหอร่วมกันสร้างขึ้น อยู่ตรงพื้นที่กึ่งกลางระหว่างแคว้น อันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกว่า ฉีหลินและซานเหอจะเป็นมิตรต่อกันตราบนานเท่านาน

“มาเถอะเสี่ยวหมิง” เส้าฮองเฮาปลุกพระธิดาให้ตื่นจากบรรทม

“ถึงแล้วเหรอเพคะ” นางขยี้ตาเล็กน้อย แล้วปรับสายตาให้เป็นปกติ

“ถึงแล้วจะ”

“เสด็จแม่ลูกไม่ลงไปได้ไหมเพคะ อากาศหนาวมากเลย” เด็กหญิงทำท่าลูบแขนของตนเอง ท่าทางไร้เดียงสาอย่างที่สุด

“ไม่ได้ เสด็จอาทั้งสองรออยู่”

เฟิ่งหมิงทำหน้าครุ่นคิด “เสด็จอาแคว้นฉีหลินน่ะหรือเพคะ”

“ใช่แล้ว ลงมาเถอะ ทำความเคารพทักทายก่อนแล้วแม่จะพาเจ้าขึ้นไปนอน”

“เพคะ....” องค์หญิงตัวน้อยรับคำลากเสียงยาวเหยียด

ก่อนลงจากรถม้าเสด็จพ่อเสด็จแม่กำชับเรื่องกิริยามารยาท เมื่ออยู่ต่อหน้าเสด็จอาทั้งสองอย่างเคร่งครัด เสด็จพ่อยังแอบกลั่นแกล้งนางด้วยกันใช้มือเย็น ๆ ของพระองค์มาแนบแก้มของนางจนนางขนลุกซู่ ถึงเวลานี้จะไม่ตื่นก็ไม่ได้แล้ว

เมื่อเดินลงมาจากรถม้าที่เบื้องหน้า มีกองทหารที่สวมชุดเครื่องแบบแห่งฉีหลิน ยืนตั้งแถวรออยู่ ครู่หนึ่งก็กลุ่มคนเดินออกมา ที่ตรงกลางนั่นนางจำได้ว่าคือเสด็จอาฮ่องเต้และเสด็จอาฮองเฮาแห่งฉีหลิน ดินแดนที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือขึ้นไปจากซานเหอซึ่งเป็นแคว้นของนาง ข้าง ๆ กันมีเด็กชายอายุไล่เลี่ยกันกับนางยืนทำหน้าบูดบึ้งไม่สบอารมณ์

กล่าวทักทายกันพอสมควรเส้าหยุนหลานเพิ่งจะสังเกตเห็นใบหน้างอง้ำของเด็กชายตรงหน้า

“ตายจริงเซียวหยวนอารมณ์ไม่ดีหรอกหรือเนี่ย” เสด็จแม่ฮองเฮาของนางโน้มตัวลงไปตรัสทักทายกับเด็กชายที่ทำหน้าบึ้งตึงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“ก็กระหม่อมไม่อยากมานี่นา” เด็กชายผู้นั้นที่นางไม่รู้จักตอบอย่างเสียมารยาท ท่าทางกระเง้ากระงอดก่อนจะถูกท่านอาฮองเฮาแห่งฉีหลินตำหนิและถูกบิดหูแรง ๆ

“เซียวหยวนแม่บอกแล้วใช่ไหมว่า ให้ทำหน้าดี ๆ” เสด็จอาฮองเฮาตรัสดุ ๆ กับเด็กที่น่าจะเป็นโอรสของนาง

“โอ๊ย...กระหม่อมไม่หมั้น คนที่กระหม่อมรักมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือน้องซินเอ๋อ บุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ และกระหม่อมจะแต่งงานกับแค่นาง” จู่ ๆ เด็กชายผู้คนนั้นก็ตะโกนออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

หลี่เฟิ่งหมิงผินหน้ามองสีพระพักตร์ของเสด็จอา ทั้งสองพระองค์มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอิดหนาระอาใจอย่างที่สุด

“ข้าขอโทษด้วย เด็กคนนี้พูดจาไร้สาระ” พระองค์หันมาพูดคุยกับสหายต่างแคว้นก่อนจะออกคำสั่งกับโอรส “เจ้าขอโทษเสด็จอาทั้งสองเดี๋ยวนี้” ลั่วเซียวหยวนถูกพระบิดาของตนเองตำหนิ

แต่กระนั้นแม้ว่าจะถูกตำหนิ ก็ยังคงเชิดหน้าดื้อรั้นอย่างเอาแต่ใจ อีกทั้งกระทำการเสียมารยาทต่อหน้าเสด็จพ่อเสด็จแม่ของนางอย่างให้อภัยไม่ได้ ทั้งที่นางถูกกำชับมาแล้วว่าห้ามทำตัวเสียมารยาท แต่ใครใช้ให้เขาปฏิบัติอย่างหยาบคายเช่นนี้ต่อหน้าเสด็จพ่อเสด็จแม่ของนางกันล่ะ

“ถวายพระพรเสด็จอาทั้งสอง” หลี่เฟิ่งหมิง ก้าวออกมาจากเบื้องหลังของพระมารดา

“อุ๊ยตายจริงเสี่ยวหมิงของเราน่ารักเหลือเกิน” ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของว่าที่ลูกสะใภ้ ฉีว่านอี้ก็เอาแต่ตรัสชมเด็กหญิงตรงหน้าไม่หยุดปาก

“ขอบพระทัยเพคะเสด็จอา” นางส่งยิ้มพิมพ์ใจให้กับบรรดาผู้ใหญ่ตรงหน้า ก่อนจะเริ่มกล่าวต่อ “เสด็จแม่ หม่อมฉันก็ไม่แต่งเช่นกันเพคะ หม่อมฉันไม่แต่งกับเด็กอัปลักษณ์ผู้นั้นเด็ดขาด” หลี่เฟิ่งหมิงเปล่งเสียงดังฟังชัด พร้อมกับชี้นิ้วใส่หน้าของลั่วเซียวหยวนอย่างไม่เกรงใจ

ผู้ใหญ่ทั้งหมดที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน แทบจะปิดปากกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

ใบหน้าน่ารักของเด็กชายกลายเป็นสีดำสีแดง เพราะโทสะ เกิดมาสิบปีนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล่าวหาว่าเขาเป็นเด็กอัปลักษณ์

“เจ้ามันก็อัปลักษณ์เหมือนกันนั่นแหละ” ลั่วเซียวหยวนกระทืบเท้าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ

ในขณะที่เขาโกรธเกรี้ยวแต่หลี่เฟิ่งหมิงกลับแสดงท่าทางอารมณ์ดี

“เสด็จอาทั้งสอง พระองค์ทั้งสองสง่างามเช่นนี้ เหตุใดจึงมีบุตรชายเช่นเขาล่ะเพคะ” นางพูดไปยิ้มไป ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะกล่าวต่อว่านางอย่างไร

“เจ้า!!! เจ้า!!!” เขาชี้หน้าเด็กหญิงพูดอะไรไม่ออก กระทืบเท้าเต้นเร่า ๆ เพราะความโกรธ จนหญ้าในบริเวณนั้นราบ ปรากฏเป็นรอยเท้าเล็ก ๆ ของเด็กชาย

“เสด็จอาว่านอี้ หม่อมฉันอยากรับประทานขนมฝีมือพระองค์เพคะ ครั้งที่แล้วที่แวะไปหาหม่อมฉัน ขนมงาชิ้นนั้นที่พระองค์เข้าครัวทำให้ ยังจดจำรสชาตินั้นได้อยู่เลย”

ฉีว่านอี้โดนความน่ารักความของเด็กน้อยตรงหน้าตรึงหัวใจเข้าเสียแล้ว อดเอื้อมมือไปบีบแก้มนุ่มที่ตอนนี้เป็นสีแดงระเรื่อเพราะอากาศเย็นไม่ได้

“อุ๊ย ตายถ้าลูกชายข้านิสัยเหมือนเสี่ยวหมิงคงจะดีไม่น้อย พวกเราเข้าไปด้านในกันเถอะ ยืนอยู่ตรงนี้อากาศเย็นนัก เสี่ยวหมิงร่างกายไม่แข็งแรง เดี๋ยวจะป่วยเสียก่อน” เมื่อฉีฮองเฮากล่าวจบทุกคนไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ถูกพาเข้าไปด้านใน