บทที่ 9 คืนทะเล
กริชส่ายศีรษะกวาดสายตาไปบนพื้นทรายอีกครั้งแล้วหันกลับขณะที่เขาหมุนตัวจะก้าวออกมาจากตรงนั้นหางตาก็กระทบเข้ากับอะไรบางอย่าง เขาเหลียวกลับไปมองสิ่งนั้นอย่างรวดเร็วและเท้าที่กำลังจะก้าวออกเปลี่ยนทิศทางก้าวกลับไปยังสิ่งที่เห็น สีแดงโผล่พ้นพื้นทรายเพียงเล็กน้อย
หนุ่มใหญ่ก้าวเข้ามาใกล้และทรุดตัวลงนั่งชันเข่า สายตาจับนิ่งที่จุดสีแดงนั้น เขาเอื้อมมือไปจิ้มที่จุดแดง ความแข็งของสิ่งนั้นสัมผัสปลายนิ้ว ความสากของมันทำให้เขาตัดสินใจเขี่ยทรายสีขาวละเอียดออก หัวใจของชายหนุ่มเต้นระทึกเพราะยิ่งแหวกเม็ดทรายออกมากเท่าไหร่สิ่งที่เขาเห็นเป็นเพียงจุดสีแดงก็ปรากฏในม่านตามากขึ้นเท่านั้นและเขาก็ได้เห็นมันทั้งหมด
“คุณพระช่วย..เป็นไปได้ยังไง..” กริชอุทานด้วยความตกใจระคนประหลาดใจ เขาดึงแผ่นสีแดงออกมาจากพื้นทราย
ดวงตาสีสนิมกลอกกลิ้งไปมาเปลือกตากะพริบเร็วกว่าเดิม สิ่งที่อยู่ในมือเขาคือปะการังแผ่นแต่เป็นปลายแผ่นซึ่งมีรอยหักออกจากแผ่นใหญ่ของต้นตอและเขาจะไม่ประหลาดใจเลยหากมันเป็นปะการังธรรมดา แต่นี่มันเป็นปะการังสีแดง ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นปะการังสีแดงสดเช่นสีเลือดอย่างนี้ ไม่เคยคิดว่ามันจะมีอยู่ในท้องทะเลอันกว้างใหญ่นี้ด้วย เขาเป็นลูกชาวเล ดำน้ำดูปะการังมาตั้งแต่ตัวเล็กๆ กระทั่งวันนี้อายุเกือบ 50 ปีแล้วเพิ่งได้เห็นปะการังสีแดงสดเป็นครั้งแรก
กริชก้มลงมองชิ้นส่วนของปะการังในมืออีกครั้ง เขามองไกลออกไปยังท้องทะเล แผ่นปะการังถูกคลื่นซัดเข้ามาซุกอยู่บนหาดทรายตั้งแต่เมื่อไหร่และปะการังสีแดงอยู่ส่วนไหนของผืนน้ำ หนุ่มใหญ่ถอนใจอีกครั้ง
“ฉันจะเอาแกไปคืนทะเล แกเป็นสมบัติของทะเลฉันจะไม่เห็นแก่ตัวเอาแกไว้ แกหักออกมายังงี้ตายรึยังก็ไม่รู้”
เขาพูดกับปะการังในมือแล้วลุกขึ้นยืน ลมทะเลพักกระโชกเข้ามาปะทะหน้าเขาแล้วพัดผ่านเลยไป กริชดึงผ้าขาวม้าออกจากเอวแล้วห่อปลายแผ่นปะการังไว้ก่อนจะคาดลงบนเอวอีกครั้ง เท้าก้าวยาวๆ ออกมาจากที่นั้น ในใจยังคิดวนเวียนอยู่กับปะการัง มันถูกหักมาจากกิ่งใหญ่ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าหักได้อย่างไรอาจเป็นพวกปลาตัวโต ว่ายชนก็เป็นได้
“กรณ์ ไอ้กรณ์โว้ย เอาเรือออก” กริชกลับถึงบ้านตะโกนเรียกกรณ์ให้ออกทะเลด้วยกัน กรณ์วิ่งตามบิดาไปที่เรือปากก็ร้องถาม
“พ่อจะไปไหน”
“เอาปะการังไปคืนทะเล”
“ปะการังอะไร ทำไมต้องเอาไปคืนด้วยล่ะพ่อ มันแตกหักมาเกยหาดเยอะแยะไปไม่เห็นต้องคืนเลยนี่”
“เออน่ะมาเถอะ”
“พ่อนี่ก็แปลก นึกยังไงถึงจะเอาปะการังคืนทะเล มันก็อยู่กับทะเลของมันแล้วนี่ ถ้าเป็นช่อใหญ่ๆ คลื่นยักษ์ซัดมาขึ้นฝั่งค่อยว่ากันหน่อย”
“มึงหยุดบ่นได้มั้ยวะ ติดเครื่องเรือ” กริชลากเรือออกแล้วโดดขึ้นทางส่วนหัว กรณ์ขึ้นทางท้าย
สตาร์ทเครื่องยนต์ดังกระหึ่มแล้วเบนหัวเรือออกจากฝั่ง แม้บิดาสั่งให้เขาหยุดพูดแต่ก็อดถามบิดาไม่ได้
“ถามจริงๆ เถอะพ่อ พ่อจะไปไหนเนี่ย”
“เอาปะการังไปคืน”
“คืนที่ไหน นี่ก็กลางทะเลแล้วนะพ่อคืนตรงนี้ก็ได้” กรณ์เร่งความเร็วเรือพุ่งไปข้างหน้า
กริชทอดสายตาไกลออกไปถึงภูเขาทะมึนข้างหน้า ที่นั่นมีกลุ่มปะการังอยู่เป็นบริเวณกว้าง นักท่องเที่ยวข้ามมาเที่ยวบนเกาะนี้หนาตา ทุกคนหวังมาดำน้ำดูปะการังกันทั้งนั้น ถ้าดำน้ำชมความงดงามของท้องทะเล ชมความงดงามของปะการังหลากสีเพียงอย่างเดียวก็คงไม่มีปัญหาอะไรแต่หลายคนแอบหักกิ่งปะการังสีต่างๆ นำติดตัวกลับไปด้วย กริชถอนใจยาวรู้สึกสงสารกลุ่มปะการังเหล่านั้น
ชีวิตของพวกเขาอยู่กับทะเลมายาวนานหลายชั่วอายุคน สืบทอดการทำมาหากินรุ่นต่อรุ่นโดยไม่มีความขัดแย้งหรือแก่งแย่งเรื่องทำมาหากินสักครั้ง กริชชี้มือไปยังภูเขาทะมึนแล้วหันมาสั่งลูกชาย
“ไปจุดดำน้ำดูปะการัง”
“เอาไปคืนถึงที่เลยเหรอพ่อ”
“เออ แล้วก็ไม่ต้องถามอีกนะกูรำคาญ” กริชตัดบทการสนทนากับลูกชายเพียงเท่านั้น
ไม่นานนักหัวเรือกรณ์กริชก็พุ่งเข้าไปใกล้แหล่งปะการัง กริชแก้ผ้าขาวม้าที่เอวออกช้าๆ คลี่ผ้าเพียงเล็กน้อย เขากลัวกรณ์จะเห็นสิ่งที่เขาเองก็เพิ่งเห็น กลัวว่าลูกจะพูดมากเขาไม่อยากให้ใครเห็นมัน เขาหยิบแผ่นสีแดงออกมาแล้วหย่อนลงข้างเรืออย่างรวดเร็ว
“ดับเครื่องได้แล้ว” เขาหันมาสั่งกรณ์ มือที่อยู่ในน้ำยังกำแผ่นสีแดงไว้แน่น กรณ์ดับเครื่องเรือตามคำสั่ง
“ปล่อยตรงนี้เหรอพ่อ”
“เออ ปล่อยตรงกลุ่มใหญ่นี่แหละไม่ต้องเข้าไปถึงฝั่ง” เขาตอบลูกชายแล้วก้มลงมองของในมือ
“ฉันพามาอยู่กับพวกแล้วนะ ไปดีนะ” มือกร้านแบออก ปลายแผ่นปะการังหักลอยตัวครู่หนึ่งจึงค่อยๆ จมลงสู่ท้องทะเล กริชมองตามแผ่นสีแดงด้วยความรู้สึกอิ่มใจอย่างน้อยเขาก็นำสิ่งแปลกประหลาดกลับมาไว้ในที่ๆ ที่ควรอยู่ แผ่นสีแดงสะบัดหมุนตามความแรงของสายน้ำ กริชมองเห็นเป็นใบไม้สีแดงกำลังโบกพลิ้วม้วนตัวเป็นเกลียวงดงาม หนุ่มใหญ่ยิ้มแล้วหันมาสั่งคนขับเรือ