บทที่ 8 จุดสีแดง
“แต่มันอะไร” กริชกระแทกหางเสียง
“มันน่ากลัวน่ะสิพ่อ ฉันไม่เคยเห็นอะไรน่ากลัวยังงี้เลยนะพ่อ” กรณ์ยกมือลูบขนแขนที่ตั้งชัน กริชมองแขนลูกชายแล้วเอ่ยขึ้น
“ไอ้เรื่องน่ากลัวของมึงน่ะอยู่ไหน”
“ท้ายหมู่บ้านจ้ะพ่อ” กรณ์ตอบเร็ว เขาชี้มือไปทางท้ายหมู่บ้าน
กริชไม่ตั้งคำถามกับกรณ์อีกเพราะถามไปกรณ์ก็คงไม่สามารถตอบคำถามให้เขาคลายความอยากรู้ลงได้ หนุ่มใหญ่เดินเร็วขึ้น ท้ายหมู่บ้านมีคำตอบรอเขาอยู่แล้ว
กริชเดินตามชายหาดมาถึงท้ายหมู่บ้านตามที่กรณ์บอก ชาวบ้านหลายสิบคนรวมทั้งนายตำรวจหลายนายกำลังยืนล้อมวงดูอะไรอยู่สักอย่างหนึ่ง เขาแหวกกลุ่มชาวบ้านเพื่อเข้าไปดูสิ่งที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจและเมื่อเขาเข้าไปถึงเขาถึงกับผงะ กลิ่นเหม็นเน่าปะทะจมูกอย่างแรง หนุ่มใหญ่จ้องมองภาพตรงหน้าด้วยอาการตื่นตะลึง เขามองภาพนั้นครู่หนึ่งแล้วเบือนหน้าหนี มันน่ากลัวอย่างที่กรณ์บอกกับเขา
“ไอ้เขียว มึงเห็นศพนี่ได้ยังไงวะ” กริชเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับกรณ์
“ฉันจะไปเอาเบ็ดที่เรือ พอเดินมาถึงตรงนี้ก็เห็น..นี่แหละลุง” เขียวตอบแล้วชี้มือไปที่ศพบนพื้นทราย
กริชหันกลับมามองร่างเน่าเปื่อยอีกครั้ง สภาพศพไม่สามารถบ่งบอกว่าเป็นใครมาจากไหนเพราะชิ้นเนื้อทุกส่วนเปื่อยไม่เป็นชิ้นบางส่วนขาดหายไปโดยเฉพาะส่วนใบหน้าเหลือเศษเนื้อติดกระพุ้งแก้มเพียงเล็กน้อย กะโหลกศีรษะไม่เหลือเส้นผมติดอยู่สักเส้น ดวงตากลวงโบ๋ไร้ลูกตาทั้งสองข้าง เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดวิ่นคงเป็นเพราะปลาที่รุมกัดแทะเนื้อหนังของศพกินเป็นอาหาร เสื้อผ้าติดตัวอยู่จึงถูกกัดฉีกขาดตามไปด้วย
“ใครวะ” กริชตั้งคำถามกับตัวเอง เขากะพริบตาถี่ๆ เบนสายตาจากศพนิรนามไปที่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ ผืนน้ำสีน้ำเงินเข้มเงียบสงบอย่างบอกไม่ถูก คลื่นลูกเล็กเคลื่อนตัวเข้าซัดหาดทรายตามปกติ ลมทะเลยังคงพัดเช่นเดิม
“นั่นสิครับ ศพนี่เป็นใคร คนในหมู่บ้านหายไปบ้างรึเปล่า มีใครบอกผมได้บ้าง” เสียงนายตำรวจหนุ่มดังอยู่ใกล้ๆ กริชหันมามองแล้วส่ายศีรษะไปมา
“ไม่มีครับ อยู่กันครบทุกคน”
“พี่เป็นผู้ใหญ่บ้านใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ครับ ผู้ใหญ่อยู่อีกฟาก หาดเดียวกันนี่แหละครับ แต่คงไม่มีใครหายหรอก ถ้ามีพวกเรารู้กันหมดแล้ว” กริชตอบนายตำรวจตามความคิดของเขา
“สภาพศพคงตายมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 เดือน” นายตำรวจหนุ่มเอ่ยขึ้นลอยๆ
“แล้วจะทำยังไงต่อไปครับ” กริชถามแทนชาวบ้านที่อยากรู้ว่าตำรวจจะทำอย่างไรต่อไป
“ต้องนำศพไปชันสูตรก่อน แต่ตอนนี้ช่วยไปเชิญผู้ใหญ่บ้านมาที่นี่หน่อยได้มั้ยครับ”
“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะให้เด็กไปตามให้ ไอ้เขียว ไอ้กรณ์ไปตามน้าผู้ใหญ่มาไป” กริชหันไปหาลูกชายกับหลานซึ่งยืนอยู่ข้างกัน
“จ้ะพ่อ” กรณ์รับคำบิดาแล้วเดินนำเขียวออกไป
นายตำรวจหนุ่มสอบปากคำชาวบ้านเกือบทุกคนแต่ไม่มีใครรู้เลยว่าศพนิรนามศพนี้เป็นใคร มาจากไหนแต่ตำรวจก็ไม่ละความพยายาม ท้องทะเลกว้างใหญ่ก็จริงแต่ในแถบนี้มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวบ่อยมาก คนบนเกาะมีรายได้จากการจับปู ปลา หอยขายให้กับนักท่องเที่ยวมีรายได้เป็นกอบเป็นกำ
ชาวบ้านบางคนอาจให้ข้อมูลเกี่ยวกับนักท่องเที่ยวได้บ้างว่าเมื่อเดือนที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวมาเยือนบนเกาะทรายขาวแห่งนี้กี่คน ชาวบ้านรู้จำนวนชัดเจนเพราะสมุดเยี่ยมที่ผู้ใหญ่บ้านทำขึ้นมา
จากการสอบถามและตรวจเช็ครายชื่อนักท่องเที่ยวในสมุดเยี่ยมของผู้ใหญ่ ไม่มีนักท่องเที่ยวหายไปแม้แต่คนเดียว เข้ามาลงชื่อเยี่ยมกี่คน ขากลับลงชื่อเพื่อรับของที่ระลึกจากผู้ใหญ่ครบทุกคน ทางตำรวจจึงมืดแปดด้านไม่รู้จะคลำหาต้นตอจากที่ไหนได้อีก
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่จบสิ้นหลังจากที่ตำรวจนำศพลงเรือไปแล้ว กริชยืนมองเรือเร็วของตำรวจน้ำแล่นห่างออกไปกระทั่งลับสายตา เขาถอนหายใจยาวคิดไม่ออกว่าเมื่อเดือนที่แล้วมีนักท่องเที่ยวหายไปบ้างหรือเปล่า แต่เท่าที่ผู้ใหญ่บ้านยืนยันกับตำรวจก็น่าจะไม่มีใครหายแล้วศพที่ลอยมาเกยหาดเป็นใครกันล่ะ
หนุ่มใหญ่ถอนใจอีกครั้งแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าบ้านแต่พอก้าวขึ้นแคร่ไม้ไผ่เตรียมจะซ่อมอวนต่อลมก็กระโชกเข้ามาปะทะหน้าอย่างแรง กริชชะงักเท้าเหลียวมองไปรอบๆ ทุกอย่างสงบนิ่งเช่นเดิม คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว อะไรบางอย่างทำให้เขาหมุนตัวก้าวออกมาจากแคร่ไม้ไผ่ตรงไปยังท้ายหมู่บ้าน
จุดที่ศพลอยขึ้นมาเกยบนหาดทรายต้องมีอะไรอยู่ เขารู้สึกเหมือนกับเห็นจุดสีแดงบนพื้นทรายข้างศพขณะที่ตำรวจยกศพใส่ผ้าขาว กริชเร่งฝีเท้าเร็วขึ้นครู่เดียวเขาก็มาหยุดยืนตรงที่พบศพ หนุ่มใหญ่กวาดสายตาไปบนพื้นทรายแล้วเดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น จุดสีแดงที่เขาเห็นแวบหนึ่งไม่ปรากฏในสายตา เขาถอนใจแล้วพึมพำกับตัวเอง
“สงสัยตาฝาดแล้วเราไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย”