บทที่ 10 เสียงสะอื้น
“กลับบ้านโว้ย”
“แค่เนียะนะพ่อ” กรณ์ทำเสียงประชด
“เออ แค่นี้แล้วทำไม มีปัญหาอะไรมั้ย”
“ไม่มีจ้ะ กลับเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ” กรณ์ติดเครื่องเรือแล้วเบนหัวเรือย้อนกลับทางเดิม
กริชนั่งยิ้มกับทะเลเขารู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกแต่ขณะที่เขากำลังยิ้มอยู่นั้นฉับพลันเขาก็ได้ยินเสียงสะอื้นของหญิงสาวดังอยู่ใกล้ๆ เขาหันขวับไปด้านหลัง ทุกอย่างว่างเปล่ามีแต่กรณ์ทำหน้าที่คนขับโดยไม่สนใจใครและกรณ์ไม่ได้ร้องไห้ กริชกะพริบตาแล้วหันกลับมองตรงไปข้างหน้า
“หูฝาดไปมั้ง ใครจะมาร้องไห้กลางทะเลยังงี้”
“บ่นอะไรพ่อ”
“บ่นมึงนั่นแหละ ขับเร็วๆ หน่อย กูหิวข้าว”
“อ้าวพ่อ พูดไม่คิดนะ นี่เรือนะไม่ใช่รถถึงจะได้เหยียบ 150 ได้น่ะ เร็วสุดแค่นี้แหละ” กรณ์ตะโกนตอบ กริชยกมือกำหมัดใส่ลูกชายที่ช่างปากคอเราะร้ายตอบโต้ได้เจ็บแสบทุกครั้ง
กรณ์เร่งความเร็วอีกนิดไม่นานนักเรือลำน้อยของสองพ่อลูกก็เข้าถึงฝั่ง กริชโดดลงจากเรือเดินขึ้นไปก่อน กรณ์ตามไป เขาวิ่งแซงบิดาขึ้นไปดักหน้าไว้
“เดี๋ยวพ่อ”
“อะไรของมึงอีก”
“เมื่อกี้พ่อปล่อยปะการังจริงๆ เหรอ”
“เออ ทำไม สงสัยอะไร” กริชจ้องหน้าลูกในใจนึกภาวนาอย่าให้ลูกถามอะไรอีกเลย
“ก็สงสัยนิดหน่อย ฉันเห็นของในมือพ่อเป็นสีแดงๆ นะ ปะการังแดงเหรอพ่อ”
“เฮ้ย…ไม่หรอกปะการังธรรมดานี่แหละ อย่าสนใจเลยไปกินข้าวกันดีกว่า” กริชเฉไฉ เขาเกือบหาคำตอบให้ลูกไม่ได้ ขณะที่เขาปล่อยปะการังกรณ์ต้องมองอยู่และคงเห็นสีแดงในน้ำ
“แล้วทำไมพ่อต้องเอาไปคืนด้วยล่ะ พรุ่งนี้เกณฑ์พวกเราเก็บที่ชายหาดไปคืนให้หมดดีมั้ยพ่อ”
“ไอ้นี่วอนซะแล้ว กูขี้เกียจพูดกับมึง”
กริชเดินหนีลูกชาย เขาไม่อยากต่อปากต่อคำกับลูก เขากลัวว่าจะเผลอบอกความจริงออกไป เขาอยากให้เรื่องนี้รู้เห็นเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น กริชถอนใจขณะเท้ายังคงก้าวไปเรื่อยๆ
ลมทะเลพัดวูบปะทะแผ่นหลังให้เย็นยะเยือก กริชชะงักเท้าเหลียวกลับไปมองเบื้องหลังลมพัดวูบมาอีกครั้งพร้อมเสียงสะอื้นของหญิงสาว หนุ่มใหญ่สะบัดศีรษะแรงๆ คิดว่าตัวเองหูฝาดได้ยินเสียงลมพัดเป็นเสียงร้องไห้ของผู้หญิงแต่เสียงนั้นยิ่งดังแรงขึ้นๆ และเหมือนกับเสียงร้องอยู่ใกล้ๆ เขานี่เอง…
ธีรเมธยืนมองดอกสีชมพูในตู้ปลาอย่างตัดสินใจ เขาต้องขายมันอย่างนั้นหรือ เขายังไม่อยากให้ดอกไม้ประหลาดดอกนี้ตกไปเป็นสมบัติของใคร เขาต้องการเก็บมันไว้ มันเป็นสมบัติชิ้นสำคัญที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ถ้าวันนั้นเขาเชื่อไอริณ เขาจะไม่มีวันได้ยลโฉมอันงดงามของมันอีกเลยหากว่าไม่ย้อนกลับไปยังใต้ท้องทะเลอีก เขาคิดถูกที่สุดแล้วที่นำดอกไม้อันเกิดจากปะการังดอกนี้ขึ้นจากทะเล
“เธอขัดขวางฉันเองนะริณ ฉันจำเป็นต้องทำกับเธอยังงั้นแต่ฉันพลั้งมือไปหน่อย เธอคงเข้าใจฉันนะริณ” ชายหนุ่มพึมพำ สายตายังจับนิ่งที่ดอกไม้ใต้น้ำ ครู่หนึ่งจึงหมุนตัวเดินไปที่เตียงนอน
คลื่นน้ำรอบดอกกุหลาบสีชมพูเคลื่อนหมุนเป็นวง กลีบกุหลาบเหมือนมีชีวิตขึ้นมาในบัดดลแต่เพียงครู่เดียวคลื่นน้ำวนพลันเดือดปุดๆ ฟองน้ำลอยขึ้นสู่พื้นผิว ควันสีขาวอวลอบไปทั้งตู้ปลา แต่เพียงพริบตาเท่านั้นทันทีที่สายตาของธีรเมธหันมาจับจ้องที่ตู้ปลาความผิดปกติเมื่อครู่ก็หายวับไป
ชายหนุ่มอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกจากบ้าน เขาต้องทำมาหากินต่อไป เขาจะนั่งจมปลักอยู่กับความผิดพลาดที่เขาไม่ได้ตั้งใจทำกับหญิงสาวคนรักอยู่อย่างนี้ไม่ได้ อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป เขาต้องก้าวต่อไปข้างหน้า
โทรศัพท์มือถือบนเตียงดังขึ้น ธีรเมธชะงักมือที่กำลังจะหยิบกุญแจรถ เขาพร้อมจะออกไปพบพ่อค้าที่พิชิตนัดให้กับเขา พิชิตไม่รู้ว่าเขามีสิ่งมหัศจรรย์อยู่ในมือถ้ารู้พิชิตจะตื่นเต้นและเร่งให้เขาขายสิ่งนั้นมากแค่ไหน เขาจ้องมองโทรศัพท์ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมากดรับสาย
“สวัสดีครับพี่ภุ โทร.มาหาผมแต่เช้ามีอะไรรึเปล่าครับ” เสียงที่ดังออกไปนอบน้อมและยินดี
“วันนี้แกไปไหนรึเปล่า” ศัมภุไม่ตอบคำถามของเพื่อนรุ่นน้องแต่ตั้งคำถามย้อนกลับไป
“มีนัดตอนเก้าโมงเช้าครับ”
“นัดกับใคร” ศัมภุถามอีก
“ไอ้ชิตมันนัดให้ เป็นพ่อค้าของเก่า จะขอดูพระนางเทวี”
“ถ้างั้นตอนเที่ยงมากินข้าวกับพี่นะคุณอาทิตย์อยากเจอแก”
“ครับพี่ คราวนี้ผมขอเป็นเจ้ามือเองนะครับ ผมให้พี่เลี้ยงผมหลายครั้งแล้ว”
“เออ แค่นี้นะ เที่ยงเจอกัน”
“ครับผม ขอบคุณครับพี่”
ชายหนุ่มยิ้มรื่น อาทิตย์ต้องการพบเขาต้องมีข่าวดีสำหรับเขาอย่างแน่นอน การร่วมทุนกับนักธุรกิจใหญ่อยู่แค่เอื้อมแล้วสินะ เขาคว้ากุญแจรถแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ยัดใส่กระเป๋ากางเกงด้านหลังแล้วหันไปที่ตู้ปลา