ตอน 4
“ไม่ไปก็มีทางเดียว ลื้อจะไม่ได้อะไรจากอั้วเลยแม้แต่แดงเดียว” นี่คือบทกำหลาบขั้นเด็ดขาด ไม่มีคนรักสบายคนไหนยอมได้หากไม่มีสมบัติหรือเงินติดตัวสักบาท
“อ้าว...ป๊าทำอย่างนี้ได้ยังไงครับ” ธงไทชักสีหน้าไม่พอใจเริ่มโวยวาย ในความเผด็จการของบิดา
“ทำไมจะไม่ได้ในเมื่อลื้อดื้อกับอั้ว มรดกทั้งหมดอั้วจะยกให้อาเหมยกับอาหลิว โดยไม่มีข้อแม้ที่เหลืออั้วจะเก็บไว้ใช้กับเมียอั้วตอนแก่เฒ่า ลื้อมีปัญหาหรือเปล่าคนไม่ทำงานไม่สมควรได้ใช้เงินเข้าใจนะ” ธนดลยื่นคำขาดไม่แยแสสีหน้าเป็นเดือดเป็นทุกข์ของบุตรชาย บอกตัวเองต้องทำใจแข็งไว้มากที่สุด
“เอ่อ...อาเฮีย” กิ่งกมลปราดเข้าไปหาสามีเพื่อต่อรองไม่ให้ลูกต้องออกไปเผชิญชีวิตเริ่มจากศูนย์เช่นนั้น
“ลื้อไม่ต้องพูดอะไรแล้วอากิ่ง ที่ผ่านมาลื้อตามใจอาไทมากไป มากจนเสียเวลาไปหลายปี อายุจะสามสิบแล้วยังไม่คิดจะทำอะไร ถ้าเป็นลูกคนอื่นเรียนจบด็อกเตอร์แล้ว นี่อะไรเสียเวลาเปล่าๆตั้งหลายปีได้แค่ปริญญาโท” ธนดลยกฝ่ามือห้ามภรรยา ต่อไปนี้คือมาตรการขั้นเด็ดขาดที่ไม่มีวันอ่อนข้อใดๆทั้งสิ้น
“ได้ๆป๊าผมยอมก็ได้เอาตามที่ป๊าต้องการทั้งหมด” คนจอมกวนใช้ชีวิตสบายไปวันๆ จำยอมอ่อนข้อให้กับแผนเผด็จการของบิดา เขาไม่มีทางเลือกแล้วนี่คงไม่เลวร้ายมากนักหรอก เพราะตนเคยไปใช้ชีวิตนอกบ้านตั้งหลายปี จะออกไปอีกรอบจะเป็นไรไปในเมื่อบัตรเครดิตก็มี มารดาสุดที่รักยังคอยดูแลเรื่องการอยู่การกินการเงินไม่เคยขาด ไม่เว้นแม้พี่สาวทั้งสอง ช่วยไม่ได้เกิดมาเป็นลูกคนเล็กสบายอย่างนี้ล่ะทุกคนรุมล้อมเอาใจ
“เอามาให้อั้ว” ธนดลแบมือไปตรงหน้าบุตรชายเพื่อขอบางอย่าง
“อะไรป๊า” ธงไทไหวไหล่ระคนอาการไม่เข้าใจ
“บัตรเครดิตของลื้อทุกใบส่งมาอั้วจะเก็บไว้ให้เอง” เฉลยข้อสงสัยธนดลมองหน้าบุตรชาย สลับกับหน้าบอกบุญไม่รับของภรรยา ขณะบุตรสาวทั้งไม่สามารถโต้แย้งใดๆได้เลย แม้อยากโต้แย้งแทนน้องสุดที่รักแทบขาดใจก็ตาม
“โธ่...ป๊านี่มันอะไรกัน ไม่มีสิ่งนี้ผมอยู่ไม่ได้” ชายหนุ่มหน้าหล่อดุจนายแบบอินเตอร์เง้างอด บิดาทำกับเขาเกินไป ตัดหางตัดมือจนเขาไม่มีโอกาสต้านใดๆเลยแม้แต่น้อย ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนเขาจะไปวิ่งไปหาโดยไม่รั้งรอ
“จะส่งมาหรือจะให้อั้วสั่งอายัด” เสียงขรึมสั่งบุตรชาย เมื่อตั้งใจแล้วต้องดำเนินการต่อไปห้ามใจอ่อน ถ้าใจอ่อนนั่นไม่ใช่ธนดล ไม่อย่างนั้นจะสามารถปกครองคนใต้ปีกได้อย่างนั้นหรือ ไอ้ลูกเวรต้องจัดการด้วยไม้ตายแบบนี้ล่ะ
“รอเดี๋ยวครับ” ธงไทวิ่งขึ้นไปบนห้องไม่นานก็วิ่งกลับลงมาพร้อมกระเป๋าสตางค์ส่วนตัว หยิบบัตรสี่เหลี่ยมสีทองสองใบส่งให้กับบิดาด้วยใบหน้าหวานอมขมกลืน แววตาสีอ่อนมองบัตรสองใบที่ทำให้เขาใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อไร้ขีดจำกัดได้อย่างสบายๆ ด้วยสายตาละห้อย
“ส่วนนี่รับไป” ธนดลยื่นเงินปึกหนึ่งให้กับบุตรชายจำนวนไม่มาก แต่เงินก้อนนั้นสามารถเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับธงไทในวันข้างหน้าที่ไร้เงินอนาคตสองใบนั้น
“ค่าอะไรครับทำไมมันแค่นี้” ธงไทนับคร่าวๆไม่คร่าวล่ะนับง่ายมาก “ห้าหมื่น”
“ใช่นั่นคือเงินติดกระเป๋าสำหรับใช้ชีวิตนอกบ้าน ลื้อต้องเอาตัวให้รอดด้วยเงินจำนวนนี้ ไม่มีการช่วยเหลือจากทางบ้านเด็ดขาด ได้ยินนะอากิ่ง อาเหมยอาหลิว ถ้าพวกลื้อสามคนไม่เชื่อฟังอั้ว โดยให้การช่วยเหลืออาไท พวกลื้อจะได้เห็นดีกับอั้วแน่ ๆ” อธิบายกับธงไทเสร็จหันไปสั่งภรรยาและบุตรสาวทั้งสอง ที่ผ่านมาเขารู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับการช่วยเหลือธงไท เพราะมีพี่มีแม่ธงไทเลยไม่โตสักที
“เงินเท่านี้ผมจะอยู่ได้ยังไงครับ” กินข้าวมื้อเดียวเที่ยวคืนเดียวก็หมดแล้ว
“ปริญญาไม่ใช่ว่าจะรับจากสถาบันเท่านั้น มันต้องรับปริญญาในชีวิตจริงด้วย ขอให้โชคดีตำแหน่งผู้บริหารรออยู่ ถ้าช้ามันก็อาจหลุดลอย” ว่าเสร็จไม่ฟังคำร้องขอหรืออ้อนวอนจากปากบุตรชายอีกต่อไป ธนดลผละจากไปดินหลิ่วขึ้นห้อง โดยมีภรรยาวิ่งตามไปติดๆ เขารู้กิ่งกมลต้องขอร้องอ้อนวอนเรื่องธงไท จึงรีบยกมือห้ามเป็นปางห้ามญาติ กิ่งกมลจึงหุบปากฉับไม่กล้าปริปากสักประโยค
“อาตี๋อั้วเสียใจด้วยนะ” ธยานีปกติปากจัดเสียงดังโฉ่งฉาง วันนี้เสียงหายอย่างกับนักร้องกล่องเสียงอักเสบ หล่อนเดินมาตบไหล่น้องชายที่ห่อเหี่ยวราวกับผักถูกแดดเผาแล้วเดินจากไป ด้วยอดสงสารไม่ได้คงถึงเวลาที่น้องชายจะโตแล้วสินะ หล่อนเห็นด้วยกับมาตรการของบิดา แต่ก็อดสงสารน้องสุดที่รักไม่ได้
“อั้วไม่รู้จะช่วยลื้อยังไงอาตี๋” ธุวพรได้แต่ส่งสายตาละห้อยต่อหน้าน้องชายจากนั้นผละจากไปขึ้นห้องพี่สาวเพื่อรอสามีมารับ หลังจากบอกว่ามีนัดกับลูกค้าก่อนมาส่งหล่อนยังบ้านนี้
ธงไททรุดกายลงนั่งกับโซฟายกมือกุมหน้าผากคิดไม่ตก ตนต้องเริ่มต้นจากตรงไหน ก้นแตะโซฟาที่เคยนุ่มบัดนี้แข็งกระด้างราวกับกระดาน บิดาสั่งให้เขาไปสมัครงานเป็นเบ้คนอื่นโดยใช้วุฒิการศึกษาปริญญาตรีเงินเดือนเริ่มต้นแบบคนไม่มีประสบการณ์การทำงานหมื่นต้นๆ หนำซ้ำยังให้ออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น เพื่อบริหารตัวเองดูแลตัวเองไม่มีคนรับใช้ ไม่มีแม่หรือพี่คอยถือหางทำโน่นนี่นั่นให้อย่างแต่ก่อน พร้อมเงินติดกระเป๋าแค่ห้าหมื่นซึ่งเมื่อก่อนเงินจำนวนแค่นี้เขาเที่ยวกินคืนเดียวก็หมดในชั่วพริบตา ธงไทมองเงินที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความหดหู่ เขาจะสามารถทำมันได้จริงหรือกับการใช้ชีวิตอย่างถูกตัดมือตัดเช้า ‘ป๊านะป๊า’ ธงไทครวญกับตัวเอง พร้อมหยิบเงินปึกนั้นติดมือเดินขึ้นห้อง เตรียมเก็บกระเป๋าเพื่อออกสู่โลกภายนอกอีกครั้งแล้วครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่เดินทางไปเรียนต่อ
วันต่อมาธงไทหิ้วกระเป๋าใบใหญ่ออกจากบ้าน โดยมีบิดายืนกอดอกมองด้วยสายตานิ่งเย็นชาราวกับภูเขาน้ำแข็ง
“อาไทของม้า” กิ่งกมลเรียกบุตรชายเสียงแผ่วเจือแววตาอาลัย อยากตามไปส่งใจจะขาด หรือให้รถกับธงไทสักคันยังดี ทว่าสามีห้ามไว้เด็ดขาดไม่รู้จะใจร้ายทำไมนักหนา เมื่อคืนกิ่งกมลพยายามเกลี่ยกล่อมสามีเพื่อให้ยอมใจอ่อนไม่ส่งธงไทออกไปอยู่ลำพัง หรือไปสมัครงานเป็นเบ้คนอื่น ธงไทไม่เคยทำงานจะเริ่มต้นจากตรงไหน แถมเงินติดกระเป๋าเท่านั้นจะกระเบียดกระเสียรใช้อย่างไร
ส่วนธนดลเตรียมการบางอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว ธงไทจะไม่ตกงานนานแต่จะได้งานเร็วๆนี้ ทว่าจะทนได้แค่ไหนกับการต้องเริ่มต้นจากพนักงานต๊อกต๋อยไร้ศักดิ์ไม่มีสิทธิ์ชี้นิ้วใช้ใครนอกจากก้มหน้าทำตามคำสั่งคนอื่นอย่างเดียว
“อาสันติไปส่งอาไทที่นี่” ธนดลยื่นกระดาษแผ่นเล็กซึ่งเขียนที่อยู่ด้วยลายมือตนเอง ส่งให้กับคนขับรถประจำตัว
“ครับท่าน” สันติรับกระดาษแผ่นนั้นพร้อมกับเดินตรงไปยังธงไทซึ่งเดินไปจวนถึงประตูทางออก “คุณไทครับขึ้นรถครับ”
“ลุงสันติ” ธงไทมองหน้าคนขับรถของบิดา พลางหันไปมองบิดาที่ยืนไหล่ตรงเชิดหน้ามือไพล่หลังเมินสายตาไปทางอื่น เขาส่งยิ้มให้มารดาแล้วเดินตามคนขับรถไปขึ้นรถ อย่างน้อยก็ไม่ต้องนั่งรถเมย์ซึ่งตนไม่รู้สายไหนไปทางไหนรถแท็กซี่ก็ยังไม่รู้ที่หมายในการเดินทางเซ็งชะมัด
“ครับคุณท่านสั่ง” มือหนึ่งยึดกระเป๋าใบใหญ่จากธงไทไปยัดใส่ท้ายรถแล้วรีบไปเปิดประตูให้ชายหนุ่ม
ธงไทเดินไปย่อกายเข้าไปในห้องโดยสารด้วยอาการลังเล บิดาจะมาไม้ไหนก็ไหนบอกว่าไม่ต้องการส่งความช่วยเหลือแก่เขาทั้งสิ้น หรือว่าท่านต้องการสั่งสอนอะไรเขาอีก ไม่หรอกน่าอย่าคิดมากเขาสั่งตัวเองแบบนั้น
“คุณไทไปนั่งด้านหลังเถอะครับ” สันติบอกนายน้อย