บทที่ 2 สตรีที่ฟ้าประทาน
“เจ้าเป็นใคร!” เขาถามสตรีที่ซบแทบอก ด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“หากข้าบอกท่าน ท่านจะช่วยข้าจากเจ้าหัวโล้นนั่นหรือไม่เล่า”
ดวงตากลมโตราวกับไข่ห่านจ้องมองใบหน้าที่แดงซ่าน ชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อของบุรุษใต้ร่างเล็กของตัวเอง โชคดีเสียยิ่งนักที่นางตกลงบนเกี้ยวของเขา ไม่เช่นนั้นนางคงได้งับก้อนหินบนพื้นจนฟันโยกไปแล้ว
ใบหน้าของบุรุษผู้นี้ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว นับว่าหล่อเหลากว่าผู้ใดในเมืองเหลียนเจียงที่นางได้เคยพบเจอ ใบหน้าคมเข้มประดุจรูปสลัก คิ้วเข้มพาดเฉียง ดวงตาสีนิลลึกล้ำทอประกายน่าค้นหาเป็นสายตาเจ้าเสน่ห์ที่ซ่อนเล่ห์เอาไว้มากมาย กรามแข็งแรงเด่นชัดจมูกโด่งเป็นสันคม ริมฝีปากหยักสวยแม้ยามนี้จะดูแตกระแหงเพราะขาดน้ำ ในวันที่อากาศร้อนฉ่ายามเที่ยงวัน เรือนผมสีดำสนิทถูกรวบเป็นมวยสูง สวมครอบเอาไว้ด้วยกวานอัญมณีราคาแพงที่ปรายตามองก็รู้ว่าเป็นคุณชายจากตระกูลที่ร่ำรวย
เขามีรูปร่างที่สูงโปร่งงดงาม ส่วนสูงน่าจะราว ๆ แปดฉื่อไหล่กว้าง กล้ามเนื้ออกแน่น สัมผัสรู้ได้จากฝ่ามือเล็กที่ทาบทับอยู่บนแผงอกของเขา
“เจ้าจะลูบไล้หน้าอกของข้าอีกนานหรือไม่”
หมับ
จ้าวหยวนโจวคว้าเข้าที่ท่อนแขนเล็กของนาง ก่อนจะออกแรงดึงรั้งจนใบหน้าของนางขยับเข้ามาใกล้ ดวงตาคบกริบของเขามองสำรวจสตรีเบื้องหน้าด้วยความสงสัย แต่ทว่าเขากลับพบเจอแต่ความงามลึกล้ำซ่อนเอาไว้ภายในความซอมซ่อ มอมแมมของสตรีผู้นี้
ใบหน้าเรียวยาวสง่างาม โหนกแก้มสูงเด่นชัด ดวงตากลมโตสีดำสนิท ทอประกายแห่งความซุกซนและความเจ้าเล่ห์เอาไว้ จมูกเล็กเชิดสวย ริมฝีปากอิ่มเอิบของนางเป็นแดงระเรื่อ ชวนให้นึกถึงกลีบดอกโบตั๋นสีแดงสดที่บานสะพรั่ง เอวของนางคอดกิ่วราวกับถูกรัด มิหนำซ้ำยังมีสะโพกที่กลมกลึง และเนินเนื้อในวัยสาวที่บดเบียดอยู่กับกล้ามหน้าท้องของเขา
“แล้วท่านจะจับสะโพกของข้าอีกนานหรือไม่เล่า”
ว้าย
เมื่อถูกทักท้วงจ้าวหยวนโจวรีบผุดลุกขึ้นนั่งในทันที โดยลืมว่าเขายังมีร่างเล็กทาบทับไปกับลำตัว จึงทำให้สตรีผู้นี้เกือบจะหงายหลังตกลงจากเกี้ยวไปแล้วจริง ๆ หากเขาไม่เอื้อมมือคว้าเอวสอบของนางเอาไว้
แค่ก แค่ก
เสียงกระแอมดังขึ้นจากด้านบนของหลังคา ส่งให้นายอำเภอหนุ่มปรายดวงตาขึ้นมองบุรุษร่างกำยำ หน้าตาดุดัน บนศีรษะไร้ซึ่งเส้นผม กำลังส่งสายตาอำมหิตมาให้กับเขา
“ใต้เท้า หากท่านอยากจะทำความรู้จักกับนักตุ้มตุ๋นผู้นั้น เอาไว้ก่อนดีหรือไม่ ยามนี้ส่งตัวนางมาให้กับข้าก่อน”
“นางทำกระไรให้เจ้าอย่างนั้นหรือ”
จ้าวหยวนโจวเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง โดยลืมมาดปลาเค็มไปชั่วขณะ
“นางหลอกขายหยกปลอมให้ข้า ให้ข้าเดา ใต้เท้าคงเป็นนายอำเภอที่มาใหม่กระมัง หากท่านไม่อยากมีปัญหากับนายหญิงแห่งตลาดมืดก็ส่งตัวนางมาก่อน ดีหรือไม่”
บุรุษหัวโล้นเรียกสติของเขาให้กลับคืน ก่อนที่จ้าวหยวนโจวจะกลับมาแสดงละครให้สมบทบาทอีกครั้ง
“นางก็ยังอยู่ตรงนี้ หากเจ้าอยากได้ก็รีบมารับตัวของนางไปเสีย คนแบกเกี้ยวของข้าหลังจะหักอยู่แล้ว”
เขาพ่นลมหายใจออกมา ก่อนจะเปลี่ยนท่าทีจนสตรีข้างกายได้แต่ฉงน ว่าเหตุใดนายอำเภอผู้นี้ถึงได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาราวกับปลาหมอสีไปได้กันเล่า
“อ้าว เหตุใดท่านพูดเช่นนั้น ข้าก็เป็นประชาชนตาดำ ๆ คนหนึ่ง ท่านเป็นนายอำเภอไม่คิดจะช่วยข้าบ้างเลยหรืออย่างไร”
“แต่คนผู้นั้นบอกว่าเจ้าเป็นนักต้มตุ๋น เพราะฉะนั้นลงไปจากเกี้ยวของข้าได้แล้ว ข้าไม่อยากมีเรื่องกับเขา” จ้าวหยวนโจวไม่ว่าเปล่า เขานั่งเท้าศีรษะ พร้อมกับโบกมือไล่นางอย่างไม่สนใจ
“เฮ้อ ข้าคิดว่าเหลียนเจียงจะได้นายอำเภอดี ๆ กับเขาบ้างแต่ดูเหมือนข้าจะคิดผิดไป กลับได้ปลาเค็มมาเป็นนายอำเภอ หึ ไร้ประโยชน์สิ้นดี”
นางแค่นเสียงในลำคอ ก่อนจะกระโดดลงจากเกี้ยวแล้ววิ่งหนีไป โดยมีบุรุษหัวโล้นไล่ตามไปติด ๆ
จ้าวหยวนโจวได้แต่ส่ายหน้า สตรีเช่นนางไม่ควรจะแก่นเซี้ยวและซุกซนเช่นนี้ เขาปัดมือลงบนอาภรณ์ที่ยับย่นของตัวเองเพื่อจัดระเบียบร่างกายอีกครั้ง แต่ทว่าบนสายคาดเอวของเขากลับว่างเปล่า ป้ายหยกประจำตัวของเขาหายไปเสียแล้ว
เขากวาดสายตาบนเกี้ยวอยู่นาน จนฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าบุรุษหัวโล้นผู้นั้นขนานนามสตรีผู้นั้นว่านักต้มตุ๋น เห็นทีนางคงจะฉกชิงป้ายหยกไปจากเขาแล้วจริง ๆ
“ร้ายยิ่งนัก...”
ใบหน้าหล่อเหลาผุดรอยยิ้มขึ้นมาเมื่อพลาดท่าให้กับสตรีเจ้าเล่ห์ผู้นั้นเข้าให้เสียแล้ว แต่ทว่าวันนี้เขาเหน็ดเหนื่อยเกินกว่าที่จะตามไปเอาเรื่องกับนาง ลำพังให้เขาพาตัวเองไปยังจวนที่ว่าการนายอำเภอในตอนนี้ยังเป็นไปได้ยาก แม้จะเกิดความวุ่นวาย แต่พวกเขาก็ยังคงดึงดันที่จะแบกเกี้ยวของเขาให้ครบสามรอบอยู่ดี
“โม่วโฉว...”
จ้าวหยวนโจวเอ่ยเรียกคนสนิทด้วยน้ำเสียงที่เหือดแห้งพร้อมกับพาร่างที่โอนเอน ชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อเข้ามาภายในจวนของที่ว่าการด้วยความยากลำบาก ก่อนที่ดวงตาคู่คมจะเห็นโม่วโฉวนั่งหลับอยู่หน้าจวน
“คุณชาย เหตุใดสภาพถึงได้ดูไม่ได้เช่นนี้เล่า”
โม่วโฉวปรี่เข้ามาประคองร่างของผู้เป็นนายเอาไว้ ก่อนจะพาร่างที่อ่อนแรงเข้าไปยังด้านใน ในทันที
“พวกเขาแห่ข้ารอบเมืองถึงสามรอบ ไป ไปเตรียมน้ำให้ข้าทีข้าอยากอาบน้ำ” เสียงแหบแห้งเอ่ยสั่งโม่วโฉว
“ขอรับ”
ด้วยความว่องไว ไม่นานเขาก็ได้แช่กายลงในน้ำเย็นเพื่อคลายความร้อน จ้าวหยวนโจวพาดลำคอไปกับขอบของถังไม้ใบใหญ่ด้วยความอ่อนแรง แต่กลิ่นหอมของกลีบดอกไม้และน้ำมันหอมระเหยทำให้เขานึกถึงสตรีที่เพิ่งจะได้เจอก่อนหน้าขึ้นมาเสียได้
“หอมเหมือนกับกลิ่นกายของสตรีผู้นั้นเหลือเกิน”
เขาพึมพำออกมา ก่อนจะนึกถึงใบหน้าโฉมงามของสตรีผู้นั้นขึ้นมาจับใจ ดวงตาเจ้าเล่ห์และทรงเสน่ห์คู่นั้นทำให้เขารู้สึกสนใจในตัวของนางขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก
“พรุ่งนี้ข้าจะไปตามหาเจ้า เพื่อเอาป้ายหยกของข้าคืน…”
…………..
ตี้จื่อหยวน ในวัยสิบเก้าปี สตรีโฉมงามในคราบของนักต้มตุ๋นผู้มากเล่ห์ พาตัวเองหลบหนีบุรุษร่างกำยำจากตลาดมืด กว่านางจะสามารถสลัดเขาได้นั้น ทำให้นางต้องเหนื่อยหอบพอดู
ร่างบอบบางพักเหนื่อยอยู่ด้านหลังเรือนร้าง ก่อนจะหยิบป้ายหยกเนื้อดี ราคาแพง ที่หาได้จากตระกูลขุนนางเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าป้ายหยกที่นางฉกชิงมาจากนายอำเภอผู้นั้นจะสูงค่ามากเพียงนี้ บนป้ายระบุชื่ออย่างชัดเจน จ้าวหยวนโจว
ตี้จื่อหยวนลูบไล้ฝ่ามือลงไปบนตัวอักษรที่สลักเอาไว้บนแผ่นป้าย พร้อมกับนึกถึงใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา พลันหัวใจดวงน้อยก็เต้นระส่ำขึ้นมาเสียอย่างนั้น
‘ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะขโมยป้ายหยกของท่าน แต่ของชิ้นนี้จะทำให้ข้าสามารถประทังชีวิตตัวเองกับน้องชายของข้าไปได้อีกหลายวัน’
ฝ่ามือเล็กทาบทับลงบนหน้าอกที่กระเพื่อมแรงให้คลายจังหวะการเต้นลง ดวงตาคู่งามจับจ้องป้ายหยกด้วยความพินิจ หากเป็นโรงรับจำนำเห็นทีคงจะไม่รับป้ายหยกที่สลักชื่อขุนนางเอาไว้ แต่ทว่าสำหรับตลาดมืดโยว่หลันแล้ว นอกจากนางจะมีเงินชดใช้หยกปลอมที่นางถูกหลอกขายมาอีกที นางคงจะพอมีเงินให้ซื้อหมั่นโถสักก้อนสองก้อนให้กับหยวนไห่ได้อิ่มท้อง
ว่าแล้วตี้จื่อหยวนก็มุ่งหน้าไปยังตลาดมืดอีกครั้ง เพื่อขายป้ายหยกนี้ แล้วก็เป็นดังคาดป้ายหยกชิ้นนี้ทำให้นางชดเชยค่าเสียหายให้กับเจ้าหัวโล้น และได้แผ่นเงินกลับมามากพอที่จะประทังชีวิตไปได้อีกหลายวัน
ร้านขายซาลาเปาในตรอกการค้า ตี้จื่อหยวนเลือกซื้อหมั่นโถและซาลาเปาไส้เนื้อ พร้อมกับถังหูลู่อีกสองไม้กลับบ้านด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ก่อนจะมุ่งตรงกลับเรือนในทันที
เรือนที่นางใช้ซุกหัวนอนนั้น เป็นเรือนเก่าของนายอำเภอคนก่อนที่ถูกฆาตกรรมอย่างมีเงื่อนงำ แม้ทางการจะสั่งปิดตายแต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาตรวจสอบเพราะกลัววิญญาณอาฆาต นางจึงสามารถอยู่อาศัยในเรือนแห่งนี้ได้อย่างสงบสุขเสมอมา
“หยวนไห่...” นางเอ่ยเรียกเจ้าของชื่อ ก่อนที่เจ้าก้อนกลมจะวิ่งหน้าตั้งออกมาหาด้วยร้อยยิ้มกว้าง
“ท่านพี่”
“ดูสิว่าวันนี้ข้ามีอะไรมาให้เจ้ากิน”
ตี้จื่อหยวน เปิดห่อกระดาษออก ไอความร้อนส่งให้ควันร้อนพวยพุ่งออกมาจากด้านในพร้อมกับกลิ่นหอมที่พัดโชยออกมาจนอีกฝ่ายกลืนน้ำลายลงคอด้วยเสียงดัง นางจึงยื่นก้อนแป้งให้กับเด็กชายในวัยหกหนาวได้กัดกินด้วยความเอร็ดอร่อย
หยวนไห่ คือดรุณน้อยที่นางเก็บเอามาเลี้ยง เมื่อหนึ่งปีก่อน เด็กชายผู้นี้ถูกทอดทิ้งเอาไว้เพียงผู้เดียว นางได้เจอเขานั่งร้องไห้อยู่หน้าเรือนของนายอำเภอคนก่อน ด้วยความสงสารจึงรับเลี้ยงดูเสมอมา
“ท่านพี่อร่อยมากเลยขอรับ ท่านพี่กินสิ ข้าป้อน”
“อื้อ”
ตี้จื่อหยวนงับซาลาเปามาจากมืออวบอ้วนที่บรรจงป้อนเข้าปากของนางด้วยความตั้งใจ รอยยิ้มที่สดใสของเด็กชายผู้นี้ทำให้นางไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป ท่ามกลางความรกร้างของเรือนหลังนี้นับว่ายังมีความอบอุ่นอยู่บ้าง