บทย่อ
"ยามนี้จ้าวหยวนโจวก็เป็นแค่ปลาเค็มตัวหนึ่งเท่านั้น แต่หากวันใดปลาเค็มตัวนี้ริอาจอยากจะกลายเป็นปลาเป็น เอาไว้ค่อยสังหารก็คงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรนัก” ฝ่ามือเรียวบางถูกยกขึ้นมาเพื่อเป็นการบอกปัด ก่อนที่ริมฝีปากแดงจัดจ้านจะยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย และเจ้าแผนการ
บทนำ ปลาเค็มตัวหนึ่ง
เมืองหลานโจว แคว้นหนานอัน ...
ท่ามกลางวสันตฤดูแรกแย้ม ท้องฟ้าสีครามสดใสไร้เมฆหมอกส่งให้อากาศเย็นสบายไม่หนาวและไม่ร้อนจนเกินไป พืชพรรณล้วนแล้วแต่อุดมสมบูรณ์ เขียวชอุ่ม ผลิดอกออกใบอย่างงดงาม ไม่เว้นแม้แต่ดอกมู่ตันราชาแห่งดอกไม้ก็กำลังเบ่งบานต้อนรับแสงสุริยาอันแสนจะอบอุ่นด้วยความสดใส กลีบดอกสีชมพูหวานนั้นยังคงแช่มชื่นเมื่อยามต้องกระทบกับสายตา
แต่ทว่าบรรยากาศภายในจวนของตุลาการจ้าวไห่หลินนั้นกลับเกิดความโกลาหลราวกับไก่บิน สุนัขกระโดด [1] นั่นเป็นเพราะว่าคุณชายเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลเอาแต่อิดออดไม่ยอมเตรียมตัวสำหรับออกเดินทางไปยังเมืองเหลียนเจียงตามคำสั่งของผู้เป็นบิดา ลำบากถึงบ่าวรับใช้ที่ต้องพากันยื้อยุดฉุดกระชากผู้เป็นนายด้วยความเหน็ดเหนื่อย
“คุณชายขอรับ เตรียมตัวออกเดินทางกันจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นจะถึงเหลียนเจียงช้ากว่ากำหนดการนะขอรับ”
โม่วโฉวออกแรงดึงรั้งท่อนขาแข็งของคุณชายนายเหนือหัวของเขาเอาไว้ โดยที่อีกฝ่ายเอาแต่คว่ำหน้านอนกอดหมอนใบโตอย่างเหนียวแน่น พร้อมกับแข็งขืนลำตัวเอาไว้สุดแรงกำลัง
“ไม่ ข้าไม่ไป หากท่านพ่อข้าอยากไปก็ให้เขาไปเอง ปล่อยข้า!” เจ้าของร่างยังคงดื้อดึง ทั้งกอดหมอน ทั้งเกาะขอบเตียง ต้านทานแรงยื้อยุดไม่ยอมเลิกรา
จ้าวหยวนโจว ผู้ตรวจการในวัยยี่สิบห้าปี เป็นผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยความสามารถมากมาย อีกทั้งยังสุขุม ชาญฉลาด เชี่ยวชาญวรยุทธ์ ฝักใฝ่ในตำราเพื่อการสอบเลื่อนขั้นเป็นตุลาการต่อจากผู้เป็นบิดา ตามความฝันที่ตั้งใจเอาไว้อย่างหนักแน่น มิหนำซ้ำยังมีใบหน้าประหนึ่งเทพเซียนลงมาจุติ เพราะมีรูปโฉมที่งดงาม หล่อเหลา เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ล้นเหลือ และเป็นที่ต้องตาต้องใจของสตรีมากมาย
แต่นั่นเป็นนิสัยของจ้าวหยวนโจวเมื่อสามเดือนก่อน หาใช่จ้าวหยวนโจวผู้ที่กำลังดื้อรั้น ดีดดิ้นประหนึ่งดรุณน้อยวัยเดียงสาเหมือนในยามนี้ จากคุณชายมากความสามารถเปลี่ยนเป็นคุณชายที่ไร้ความฝัน ไร้ชีวิตชีวา วัน ๆ เอาแต่นอน หรือไม่ก็ดื่มสุราจนเมามาย ตำราก็ไม่เคยแตะต้อง หน้าที่ของผู้ตรวจการก็ไม่เคยสนใจ
เสียงหวีดร้องของบุตรชายตัวดี ทำให้จ้าวไห่หลินและฮูหยินข้างกายยืนนิ่งอยู่ด้านหน้าเรือน บุรุษและสตรีในวัยเข้าใกล้วัยชรา แต่ยังมีรูปลักษณ์ที่งามสง่า แม้วันเวลาจะล่วงเลยมาเป็นระยะหลายปี พวกเขามองหน้าสบตากันด้วยสายตาที่เหนื่อยล้า ก่อนจะส่ายหน้าให้กับลูกชายเหนือเกล้าด้วยความระอา
“ฮูหยิน ข้าจะทำเช่นไรกับเจ้าลูกชายคนนี้ดี ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ข้าก็ต้องส่งเขาไปยังเหลียนเจียงให้ได้”
ใบหน้าที่เริ่มจะมีริ้วรอยจาง ๆ ของจ้าวไห่หลิน เต็มไปด้วยความวิตกกังวล เขาคือตุลาการมากฝีมือประจำเมืองหลวงหลานโจว ขุนนางคนสำคัญแห่งราชสำนัก ที่ไม่ว่าผู้ใดก็อยากจะเชื่อมสัมพันธไมตรีด้วยการยกบุตรีให้มาแต่งงานกับบุตรชายตัวดีของเขา
หากเมื่อสามเดือนก่อนไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้นกับจ้าวหยวนโจว บุตรชายเพียงคนเดียวของเขา เห็นทีว่ายามนี้บุตรชายคงจะได้ใช้ชีวิตอยู่ภายในจวนขุนนางผู้ใดผู้หนึ่ง หรืออาจจะอยู่ภายในรั้วพระราชวังในฐานะราชบุตรเขยไปแล้วก็ได้
แต่ทว่าสิ่งที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น ในวันที่ขุนนางใหญ่แห่งราชสำนักเดินทางมายังจวนของเขา เพื่อทาบทามบุตรชายให้แต่งงานกับหลานสาวของขุนนางผู้นั้น เพื่อที่จะค้ำยัน คานอำนาจภายในราชสำนักให้สมดุล
จ้าวหยวนโจวกลับพลัดตกลงมาจากหลังคา อาการสาหัส หลังจากที่เขาขึ้นไปเพื่อฝึกวรยุทธ์ดังเช่นทุกวัน จ้าวไห่หลินผู้เป็นบิดา ก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าบุตรชายของตนที่ชอบขึ้นไปฝึกกระบี่และวรยุทธ์อยู่บนหลังคามานานหลายปีนั้น ไม่เคยมีท่าทีว่าจะตกลงมา แต่จู่ ๆ กลับพลาดท่าตกลงมาจนเกิดอาการบาดเจ็บได้อย่างง่ายดายเช่นนี้
หลังจากที่บุตรชายลืมตาตื่นขึ้นมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน จ้าวหยวนโจวคนเดิมที่มุ่งมั่น และเป็นผู้ที่ไม่เคยทำให้บิดามารดาต้องพบเจอกับความผิดหวัง กลับกลายเป็นบุรุษไม่เอาไหนและไม่สนใจสิ่งใด แม้กระทั่งหน้าที่การงานของตนเอง
เมื่อคุณชายอันดับหนึ่งที่ถูกวางตัวเอาไว้เป็นอย่างดีในเส้นทางแห่งอำนาจ กลับต้องมาเป็นคนไร้ความสามารถ นั่นย่อมเป็นการสร้างภัยให้กับตนเอง จ้าวไห่หลินในฐานะบิดา และตุลาการผู้มีอำนาจเหนือตำแหน่งผู้ตรวจการของจ้าวหยวนโจว เขาจึงจำใจต้องส่งบุตรชายให้จากไปยังที่ห่างไกล นั่นก็เพื่อต้องการที่จะปกป้องชีวิตของลูกชายเพียงคนเดียวของเขาเอาไว้
“ต่อให้ข้าต้องจับเจ้าลูกชายตัวดีโยนใส่รถม้าแล้วมัดเอาไว้ข้าก็จะทำเจ้าค่ะ”
จ้าวเซียนเหยา ผู้เป็นมารดารุดหน้าเข้าไปในเรือนของบุตรชายด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ทว่านัยน์ตากลับเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว
“โจวเอ๋อร์...” จ้าวฮูหยินเอ่ยเรียกบุตรชายที่นอนดิ้นเร่า ๆ อยู่บนเตียงด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นจับจิตจับใจ
“ทะ...ท่านแม่”
จ้าวหยวนโจวผุดลุกขึ้นนั่งในทันทีที่ได้ยินเสียงของมารดาพร้อมกับไอเย็นที่ลอยปะทะร่างกำยำ ดวงตาคู่คมปรายขึ้นมองใบหน้าที่เรียบนิ่งของมารดาด้วยความตกใจ ใบหน้าของมารดามีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่ดูน่ากลัว ราวกับจะกระชากวิญญาณส่งให้กับเขาเพียงเท่านั้น
“อืม แม่เอง หากเจ้าไม่อยากให้จวนจ้าวต้องจัดงานไว้ทุกข์ก็รีบเตรียมตัวออกเดินทางได้แล้วกระมังลูกรัก”
ร่างบอบบางของสตรีที่เข้าใกล้วัยชราขยับเข้ามาใกล้บุตรชาย ก่อนจะส่งฝ่ามือเย็นเยียบเข้าไปลูบไล้ใบหน้าของจ้าวหยวนโจวด้วยความรัก พร้อมกับสายตาที่ดุดันแกมบังคับให้ลูกชายทำตามคำสั่ง
เอือก
จ้าวหยวนโจวกลืนน้ำลายลงคอด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด ฝ่ามือคู่ใหญ่เอื้อมเข้าไปจับท่อนแขนเล็กของมารดาเอาไว้ ก่อนจะคลอเคลียใบหน้าลงไปด้วยท่าทางที่ออดอ้อน แต่นั่นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล
สักเท่าไรนัก
“ท่านแม่ ข้าไม่อยากไปขอรับ” เขาเอ่ยปากบอกกับมารดาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“หมายความว่าเจ้าต้องการให้จวนจ้าวจัดงานศพเช่นนั้นหรือ ตามใจเจ้า แม่จะให้ท่านพ่อของเจ้าเตรียมการเอาไว้ให้” จ้าวฮูหยินหมุนกายกลับ แต่ทว่าบุตรชายกลับเหนี่ยวรั้งแขนเล็กของนางเอาไว้
“โธ่ ท่านแม่ ข้าไปก็ได้ขอรับ”
จ้าวหยวนโจวกดใบหน้างอง้ำลงในทันที พร้อมเอ่ยปากกับมารดาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง เพื่อเป็นการยอมจำนนต่อคำสั่งของมารดา
“เช่นนั้นก็รีบเตรียมตัวออกเดินทางได้แล้ว โจวเอ๋อร์”
จ้าวเซียนเหยาเดินออกจากเรือนของบุตรชายด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก ทั้งที่ภายในใจของนางนั้นแทบจะแหลกสลาย มารดาที่ใดกันเล่า จะอยากส่งเลือดเนื้อของตัวเองไปยังที่ที่ไกลแสนไกล
ด้านหน้าจวนตุลาการ โม่วโฉวจัดเตรียมรถม้าและสัมภาระสำหรับเดินทางเอาไว้เรียบร้อย พร้อมจะออกเดินทางไกลไปพร้อมกับคุณชายของเขา
จ้าวหยวนโจวในอาภรณ์ผ้าไหมชั้นดีสีเขียวมรกต เดินจ้ำออกมายังด้านหน้าของจวนด้วยใบหน้ายับยู่ ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านมากมายที่มาห้อมล้อม เพื่อมาดูการเปลี่ยนแปลงของคุณชายอันดับหนึ่ง ผู้ที่เคยอยู่ในทำเนียบของคุณชายมากความสามารถแห่งหลานโจวด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ และคาดเดาไปต่าง ๆ นานา ว่าการที่เขาเป็นเช่นนี้ก็เพราะตกจากหลังคาจนสมองกระทบกระเทือนไปเสียหมดแล้ว
“เสียดายนัก จากคุณชายผู้เพียบพร้อมกลับต้องมาไร้ความสามารถเช่นนี้”
“อนาคตกำลังไปได้ดีแท้ ๆ ไม่น่าเลย”
เสียงของชาวบ้านมากมายที่ดังขึ้นรอบกายจนเซ็งแซ่ หาได้ทะลุเข้าไปภายในหูของจ้าวหยวนโจวเลยแม้แต่น้อย เขาเข้าไปสวมกอดมารดาและบิดาด้วยใบหน้าบูดเบี้ยวไม่สบอารมณ์ ก่อนที่จะออกเดินทาง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าไปก่อนนะขอรับ”
“โจวเอ๋อร์ ดูแลตัวเองให้ดีนะลูกรัก” มารดาของเขาผละกายออก ก่อนจะเอ่ยปากบอกเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“เหลียนเจียงไม่อาจไว้ใจได้ หากมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นให้เจ้ารีบแจ้งต่อข้า เข้าใจหรือไม่” บิดาของเขาบอกกล่าว
จ้าวหยวนโจวได้แต่พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินขึ้นรถม้าด้วยสีหน้าที่หมดอาลัยตายอยาก ก่อนที่โม่วโฉวจะกุมบังเหียนบังคับอาชา พาให้รถม้าขับเคลื่อนออกไปจากหน้าจวนตุลาการของผู้เป็นบิดาด้วยความรีบเร่ง
ทางด้านบนของป้อมปราการเหนือกำแพงที่สูงตระหง่านแห่งเมืองหลานโจว ปรากฏร่างเล็กของสตรีในอาภรณ์ผ้าไหมชั้นดีสีม่วงเข้มปักลวดลายประณีตจากช่างภูษา กำลังยืนมองรถม้าของจ้าวหยวนโจวที่กำลังจะเดินทางออกไปจากเมืองหลวงด้วยสายตาที่เรียบเฉยและไม่อาจคาดเดาอารมณ์
ผ้าแพรสีขาวบางที่ปกคลุมโต่วลี่หรือหมวกไม้ไผ่สานสำหรับปิดบังใบหน้าของสตรีผู้นั้นยังคงสงบนิ่งไร้ความพลิ้วไหว มีเพียงสายลมอ่อน ๆ ในบางจังหวะเท่านั้น ที่พอจะพัดพาผ้าคลุมหน้าให้เปิดออกจนสามารถมองเห็นว่าริมฝีปากหยักสีแดงสดนั้น กำลังเหยียดยิ้มอยู่ภายใต้หมวกไม้ไผ่สานด้วยความเยียบเย็น
“สังหารเลยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์ข้างกายเอ่ยปากขึ้นมา หลังจากที่รถม้าเป้าหมายกำลังเคลื่อนตัวออกไปไกลจากกำแพงเมืองหลวง
“ไม่ต้อง ยามนี้จ้าวหยวนโจวก็เป็นแค่ปลาเค็มตัวหนึ่งเท่านั้นแต่หากวันใดปลาเค็มตัวนี้ริอ่านอยากจะกลายเป็นปลาเป็น เอาไว้ค่อยสังหารก็คงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรนัก”
ฝ่ามือเรียวบางถูกยกขึ้นมาเพื่อเป็นการบอกปัด ก่อนที่ริมฝีปากแดงจัดจ้านจะยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย และเจ้าแผนการ
........................................................
ปลาเค็ม 咸鱼 ในภาษาจีน มีความหมายแฝง หมายถึง
คนไร้ความสามารถ ขี้แพ้
ดังนั้น หากชีวิตขาดความฝัน และยังใช้ชีวิตแบบไร้จุดหมาย
ก็คงจะต้องกลายเป็น “ปลาเค็ม” จริง ๆ ในสักวัน
[1] ไก่บิน สุนัขกระโดด
สำนวนจีนให้ความหมายว่า ความอลหม่าน ความวุ่นวาย