บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 นายอำเภอคนใหม่

ภายในรถม้าที่กว้างขวาง จ้าวหยวนโจวกลับมานั่งหลังตรงด้วยท่าทางที่งดงาม องอาจ และสง่าผ่าเผย หลังจากพ้นออกมาจากเมืองหลานโจวเป็นระยะทางที่ไกลพอสมควร ฝ่ามือใหญ่สอดเข้าไปในชายแขนเสื้อเพื่อหยิบตำราขึ้นมาอ่านด้วยใบหน้าที่สงบนิ่ง แววตาที่ไม่เอาไหนแปรเปลี่ยนเป็นความสุขุม และล้ำลึก มองการณ์ไกล ก่อนที่ริมฝีปากหยักจะยกยิ้มขึ้นมาบริเวณมุมปากจาง ๆ หลังจากนี้เขาก็แค่สวมรอยเป็นปลาเค็มให้สมบทบาทก็เท่านั้น

เมืองเหลียนเจียง ...

การเดินทางจากหลานโจวที่เป็นเมืองหลวง แห่งแคว้นหนานอัน มายังเมืองเหลียนเจียงนั้น ค่อนข้างที่จะยากลำบากเพราะระยะทางที่แสนห่างไกลหลายร้อยลี้ มิหนำซ้ำถนนหนทางยังทุลักทุเล ผ่านทั้งภูเขาและลำธาร จึงใช้เวลาร่วมสัปดาห์ถึงจะเดินทางมาถึงจุดหมาย

จ้าวหยวนโจวก้าวเท้าลงจากรถม้า พร้อมกับท่าทางที่บ่งบอกว่าเกียจคร้านเพียงใด ใบหน้าเหยเกของเขาแสดงให้เห็นถึงความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ต่อหน้าผู้คนของที่ว่าการอำเภอ ไม่ว่าจะเป็นเหล่ามือปราบ นักสืบคดี อาลักษณ์หรือแม้กระทั่งพ่อบ้าน ที่พากันมารอต้อนรับนายอำเภอคนใหม่

จากว่าที่ตุลาการหนุ่ม กลับต้องมารับตำแหน่งนายอำเภอภายในเมืองเล็ก ๆ ที่ทั้งห่างไกลและทุรกันดาร เพียงเพราะว่าตนนั้นตกลงมาจากหลังคาจนกลายเป็นปลาเค็มที่ไร้ความสามารถตัวหนึ่งจนบิดาต้องส่งมายังที่ห่างไกลเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้

“คารวะใต้เท้าขอรับ ข้าเยียนฟาน เป็นพ่อบ้านของที่ว่าการอำเภอขอรับ” พ่อบ้านวัยชราก้าวเท้าขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ก่อนจะแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ

“คารวะใต้เท้าขอรับ!” เสียงทุ้มเข้มของหลายคนดังขึ้นอย่างกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ

“ไม่ต้องมากพิธี ข้าเดินทางมาเหนื่อยนัก พวกท่านรีบนำทางข้าไปยังจวนที่ว่าการเถอะ ข้าอยากพักผ่อนเต็มทีแล้ว”

จ้าวหยวนโจวยกมือบอกปัด ก่อนจะบิดร่างกายไปมาด้วยความเกียจคร้าน เบื้องหลังเขาไม่รู้เลยสักนิด ว่าจะมีกี่ดวงตาที่ตามจับจ้องพฤติกรรมของเขา การแสร้งทำตัวเป็นปลาเค็ม เห็นทีคงจะสร้างความสุขความสบายให้กับเขาไม่น้อย หลังจากที่เรื่องนี้ซบเซา

บิดาคงจะเรียกตัวเขากลับไปยังเมืองหลวงแล้วกระมัง

“พวกข้าต้องขออภัยด้วยใต้เท้า นายอำเภอคนใหม่ที่ถูกส่งตัวมาจากเมืองหลวงจะต้องนั่งเกี้ยวเข้าไป เพื่อให้ชาวบ้านได้ยลโฉม และชื่นชมบารมีของใต้เท้าขอรับ” พ่อบ้านผู้นั้นยกมือขึ้นปาดเหงื่อ และบอกเขาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก

“เจ้าว่ากระไรนะ นั่งเกี้ยวงั้นรึ!”

จ้าวหยวนโจวตะโกนลั่น ส่งเสียงดัง เขาถึงกับยกคิ้วขึ้นและเอ่ยถามอีกครั้งด้วยความไม่เข้าใจ เขาแค่มารับตำแหน่งนายอำเภอ ไม่ใช่ชายหนุ่มที่มาจากหอบุรุษ ถึงได้ต้องนั่งเกี้ยวแห่แหนให้คนทั้งเมืองได้ชื่นชม

“ขอรับใต้เท้า เชิญทางนั้นขอรับ”

พ่อบ้านนามว่าเยียนฟานผายมือไปยังเกี้ยวขนาดใหญ่ที่ใช้บุรุษร่างกำยำถึงแปดคนในการแบกหาม เกี้ยวหลังนั้นไม่มีแม้แต่หลังคาหรือผ้าม่านสำหรับบังแดดเลยแม้แต่น้อย แล้วดูสิยามนี้เพิ่งจะเข้ายามอู่ [1] ที่ดวงตะวันนั้นกำลังอยู่ตรงหัวพอเหมาะพอดี

“ยามนี้เลยหรือ หากข้ามาถึงในยามอิ๋น [2] ไม่ต้องแบกหามป่าวประกาศให้ชาวบ้านแหกขี้ตา ออกมาดูโฉมหน้าของข้าในตอนนั้นเลยหรอกรึ”

จ้าวหยวนโจวได้แต่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่เริ่มจะซึมบริเวณกรอบหน้า กับประเพณีอันแปลกประหลาดของเหลียนเจียง

“เป็นเช่นนั้นขอรับ ใต้เท้ารีบเถิดไม่เช่นนั้นจะร้อนไปมากกว่านี้”

เขาไม่ได้รับเพียงสายตาที่เคลือบแคลงจากพ่อบ้านเพียงเท่านั้น แต่คนจากที่ว่าการอำเภอล้วนแล้วแต่จับจ้องมายังเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ และกดดันให้เขารีบพาตัวเองขึ้นไปบนเกี้ยวเสียที

จ้าวหยวนโจวพยักหน้าให้กับโม่วโฉว ให้ควบอาชาตามเข้าไปยังด้านในของเมืองเหลียนเจียง ก่อนที่ร่างสูงสง่าในอาภรณ์ชั้นดีจะก้าวขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวด้วยความไม่เต็มใจ

แต่ทว่าการนั่งแบบนายอำเภอทั่วไปเห็นทีคงไม่เป็นที่จดจำเขาในฐานะปลาเค็มจะมีท่าทีธรรมดาทั่วไปดั่งเช่นคนอื่นได้อย่างไรกัน เขาจึงจัดแจงท่าทางการนั่งของตัวเองเสียใหม่

ทันทีที่เขาหย่อนกายนั่งลงบนเกี้ยว ร่างสูงสง่าก็เอนกายพิงแผ่นหลังกว้างนอนเหยียดยาวไปกับที่วางแขนข้างหนึ่ง ก่อนจะพาดท่อนขาเหยียดไปยังที่วางแขนอีกฝั่งหนึ่งด้วยลักษณะท่าทางกึ่งนั่งและกึ่งนอน

เท่านั้นยังไม่พอ จ้าวหยวนโจวไขว้ขาข้างหนึ่งขึ้นมาวางบนเข่าอีกข้างที่ตั้งชันเอาไว้ พร้อมกับกระดิกฝ่าเท้ารัวเร็วไปด้วยท่าทางที่สบายอารมณ์

ส่งให้ทั้งพ่อบ้านเยียนฟาน และคนจากที่ว่าการอำเภอมองสบตากันด้วยความคาดไม่ถึง ก่อนจะพากันเบ้ปากออกมาพร้อมกับความสงสัย ว่าเหตุใดนายอำเภอผู้นี้ถึงได้ทำตัวไม่น่าเคารพถึงเพียงนี้ เหลียนเจียงเห็นทีคงจะเข้าสู่ความวิบัติแล้วกระมัง

“ไปสิ มองกันอยู่ได้ นานกว่านี้ข้าคงได้ไหม้เกรียมกันพอดี”เขาเอ่ยสั่งการด้วยน้ำเสียงแข็งในทันที ทำให้พวกเขามีสีหน้าที่อ้ำอึ้งไปตาม ๆ กัน

“ขะ...ขอรับ”

เกี้ยวขนาดใหญ่ค่อย ๆ ถูกยกขึ้นจนลอยเหนือพื้น ก่อนที่บุรุษร่างใหญ่ จะพากันแบกหามเกี้ยวเดินเข้าไปยังด้านในเมืองเหลียนเจียงด้วยความพร้อมเพรียง ท่ามกลางสายตาของชาวบ้านมากมายที่พากันออกมายืนเรียงรายเต็มสองข้างทาง เพื่อต้อนรับและยลโฉมนายอำเภอคนใหม่ด้วยความตื่นตา เช่นเดียวกับตัวเขาที่รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กันว่าตัวเองจะถูกแสงแดดแผดเผาจนหน้ามืดตกเกี้ยวตอนไหนกันแน่

ท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่เจิดจ้า กำลังส่องแสงเปล่งรัศมีที่ร้อนฉ่ากระทบกับใบหน้าอันแสนหล่อเหลาจนเขาต้องหยีดวงตา ฝ่าเท้าของจ้าวหยวนโจวกลับสั่นระรัวมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ยามนี้ภายในอาภรณ์ตัวหนาของเขาชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อมากมายด้วยความผ่าวร้อน ฝ่ามือหนาพยายามที่จะยกขึ้นมาบดบังแต่กลับไม่เป็นผลใด

“ว้าว นายอำเภอคนใหม่รูปงามยิ่งนัก แต่กิริยาเช่นนั้นไม่แปลกไปหน่อยหรือ”

“เหตุใดนายอำเภอคนนี้ถึงได้ไร้มารยาทเช่นนั้นกันเล่า ไม่สง่าผ่าเผยเลยสักนิด”

“เห็นทีพวกเราคงจะได้นายอำเภอปลาเค็มมาแล้วกระมัง”

“ขอให้เหลียนเจียงแคล้วคลาดปลอดภัยทีเถิด”

จ้าวหยวนโจวได้แต่อมยิ้มให้กับถ้อยคำมากมายที่มีทั้งประณามหยามเหยียด ดูถูก และชื่นชมไปพร้อม ๆ กัน ฝ่ามือหยาบใหญ่ถูกยกขึ้นมาค้ำยันประคองศีรษะอันหนักอึ้งเอาไว้ และยังคงกระดิกฝ่าเท้าด้วยความยียวนไปตลอดทั้งระยะทาง

ในขณะที่เกี้ยวเคลื่อนผ่านไปตามเส้นทาง จ้าวหยวนโจวสังเกตทุกอย่างภายในเมืองไปด้วยพร้อมกัน เมืองเหลียนเจียงเป็นเมืองห่างไกลที่ไม่ได้กว้างใหญ่ ผู้คนภายในเมืองนี้ดูเหมือนจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไรนัก ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่แต่งกายด้วยอาภรณ์เนื้อหยาบที่ซอมซ่อ จะเห็นได้ว่ามีเพียงบางคนเท่านั้นที่แต่งกายด้วยผ้าไหมชั้นดีราคาแพง พวกคนเหล่านั้นน่าจะเป็นตระกูลคหบดีประจำเมืองกระมัง

ระเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ จ้าวหยวนโจวรู้สึกได้ว่าเกี้ยวกำลังถูกพาวนกลับมายังด้านหน้าประตูเมืองอีกครั้ง ทั้งที่ยามนี้เกี้ยวของเขาสมควรจะไปหยุดอยู่ด้านหน้าของจวนที่ว่าการอำเภอได้แล้ว เขาจึงทักท้วงออกไป พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงนสงสัย

“เหตุใดถึงวนกลับมาที่เดิมอีกเล่า”

“พวกเราต้องวนอีกสามรอบขอรับ ข้ากลัวว่าชาวบ้านที่มาใหม่จะมองใบหน้าของใต้เท้าไม่ชัดเจนน่ะขอรับ” พ่อบ้านเยียนฟานเป็นคนตอบเช่นเดิม

จ้าวหยวนโจวในยามนี้อยากจะยกท่อนขาขึ้นมาก่ายหน้าผากเสียให้รู้แล้วรู้รอด เห็นทีการเป็นปลาเค็มภายในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้คงต้องพบกับความลำบากเข้าให้แล้ว เขาจึงพ่นลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย

กว่าจะเดินทางมาถึงก็นับว่าลำบากมากพอแล้ว นี่เขายังจะต้องมาพบเจอกับประเพณีประหลาดของชาวบ้านแห่งนี้อีกหรือ อีกทั้งแสงแดดก็ไม่มีทีท่าว่าจะอับแสงลงแต่อย่างใด ช่างเป็นการต้อนรับนายอำเภอคนใหม่ที่แสนทรหดเสียยิ่งนัก

เขาปรือดวงตาลงเพื่อหลีกหนีจากแสงแดดที่เจิดจ้า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อมากมายที่ผุดพราย ริมฝีปากที่อิ่มเอิบกลับเหือดแห้งเพราะขาดน้ำมานานหลายชั่วยาม ตั้งแต่ก้าวเท้าขึ้นเกี้ยวน้ำสักอึกเขาก็ไม่ได้ดื่ม

แต่ทว่าในขณะที่เขากำลังหลับตาปลงกับชะตาชีวิตอยู่นั้นดูเหมือนว่าภายในเมืองไม่ใกล้ไม่ไกลคงเกิดความวุ่นวายขึ้นแล้วกระมัง

“หยุดนะ! ถ้าข้าจับเจ้าได้จะขังคุกมืดให้ลืมดวงตะวันไปเลย”

เสียงแข็งของคนผู้นั้น เขาฟังดูก็รู้ว่าเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยวเพียงใด มิหนำซ้ำเสียงที่เขาได้ยินกลับไม่ได้ดังมาจากพื้นดิน แต่ดังมาจากด้านบนของหลังคาเรือน

“แบร่ แน่จริงก็จับข้าให้ได้สิ ข้าไม่ได้ทำกระไรให้เจ้าสักหน่อย เจ้าหัวโล้น!” เสียงถัดมาคือเสียงก้องกังวานของสตรี ที่แม้ว่าจะหลับตาฟังก็สามารถรับรู้ได้ในทันทีว่าสตรีผู้นี้แก่นเซี้ยวมากเพียงใด

“เจ้าหลอกลวงข้า คิดว่าตัวเองเป็นนักต้มตุ๋นจะหลอกข้าได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นรึ!”

“ข้าไม่รู้สักหน่อยว่าหยกนั่นจะเป็นของปลอม ข้าก็รับมาจากตลาดมืดของพวกเจ้าอีกที หากจะกล่าวโทษก็ไปโทษเถ้าแก่ที่อยู่ในตลาดมืดผู้นั้นสิ”

สตรีสาวผู้นั้นยังคงกระโดดไปมา ตามช่องว่างระหว่างหลังคาเพื่อที่จะหลบหนี โดยมีบุรุษชายฉกรรจ์วิ่งไล่ตามอย่างไม่ลดละ

‘เมืองนี้ประหลาดดีแท้ เป็นจอมยุทธ์กันหรืออย่างไรถึงได้ขึ้นไปวิ่งไล่จับกันบนหลังคา’ จ้าวหยวนโจวยังคงหลับตา ฟังเสียงแห่งความวุ่นวายที่เกิดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบางเบา รับตำแหน่งวันแรกก็มีแต่เรื่องที่คาดไม่ถึงเสียแล้ว เห็นทีเขาคงจะได้พบเจอแต่ความสับสนอลหม่านเสียแล้วกระมัง

ว้าย!

เสียงฝีเท้าบางเบาของสตรีผู้นั้นหยุดลง พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่เต็มไปด้วยความตกใจ ดูเหมือนว่านางจะพลาดท่าให้กับเจ้าหัวโล้นแล้วกระมัง

พลั่ก

อั่ก

จู่ ๆ จ้าวหยวนโจวก็รู้สึกได้ถึงความจุกแน่นที่บริเวณลำตัวราวกับว่ามีสิ่งของอันแสนหนักอึ้งหล่นลงมาทับร่างของเขา ดวงตาคมคายเบิกกว้างขึ้นในทันที เมื่อสัมผัสรู้ได้ถึงลมหายใจของสิ่งมีชีวิต มิหนำซ้ำยังส่งกลิ่นที่หอมหวานน่าสูดดม

ดวงตาคู่คมเปิดกว้างมองร่างเล็กที่ร่วงหล่นลงมาทาบทับร่างของเขา ส่งให้ไหล่ของคนแบกเกี้ยวแทบทรุดเนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แต่ด้วยความกลัวที่ว่า ถ้าพวกเขาทำให้นายอำเภอต้องตกจากเกี้ยวนั้นเป็นความผิดใหญ่ พวกเขาจึงต้องอดทนกัดฟันประคองเกี้ยวเอาไว้ด้วยความรวดร้าว หน้าตาเหยเกไปตาม ๆ กัน

“จะ...เจ้าตกลงมาจากหลังคาหรือ” เขาเอ่ยปากถามออกไปด้วยน้ำเสียงติดขัด

“ท่านโง่เขลาหรืออย่างไร หากข้าไม่ตกลงมาจากหลังคา แล้วคิดว่าข้าตกลงมาจากฟากฟ้าอย่างนั้นรึ! ข้าไม่ใช่เทพธิดาเสียหน่อย”

ไม่มีเสียงลมหายใจที่เหน็ดเหนื่อยออกมาจากริมฝีปากแดงก่ำของนาง มีเพียงถ้อยคำที่ทำให้ต้องอ้าปากค้างตั้งแต่แรกเจอ ยามนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่าเหตุใดบุรุษหัวโล้นผู้นั้น ถึงได้วิ่งไล่ตามนางอย่างบ้าคลั่ง เพราะเขาที่ได้ฟังเพียงแค่ประโยคเดียว ก็รู้สึกอยากจะถีบสตรีผู้นี้ให้ตกลงไปจากเกี้ยวเสียแล้ว

[1] ยามอู่ เวลาประมาณ 11.00 - 13.00 น.

[2] ยามอิ๋น เวลาประมาณ 03.00 - 05.00 น.
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel