บทที่ 8
หัวใจของเธอราวจะหยุดเต้นไปชั่วครู่ รู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาทั่วเรือนกาย กัดฟันแน่น ตัดสินใจแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับบารอนคนนี้จะต้องเป็นไปตามที่เธอได้พูดไว้ การปรากฏตัวของเขาจะไม่มีอะไรมากไปกว่า การโยนก้อนกรวดลงไปในสระน้ำอันกว้างใหญ่ น้ำไม่ทันจะกระเด็นขึ้นมาถึงขอบสระด้วยซ้ำ
“เอาละ ตาเห็นจะต้องขึ้นไปที่บ้านใหญ่เสียที” เนทพูดขึ้นในที่สุด
“ก็ดีแล้วละ เมื่อฉันล้างจานล้างชามเสร็จก็จะทำงานเอกสารเสียเลย”
“ตาคงจะไปไม่นานหรอก”
“นั่นสิ ฉันก็ไม่เห็นว่ายังจะมีอะไรที่จะต้องพูดกันให้มันยืดยาวกว่านี้” คิทเห็นด้วย ยังคงยืนอยู่ข้างอ่างล้างจานนั้น มือแตะอยู่กับหัวก๊อก ได้ยินเสียงตัวเองที่กล่าวออกมาเบาๆ ว่า “อย่าเล่าให้เขาฟังเลยนะ ตา”
เนทวางมือลงบนไหล่หลานสาว มันเป็นการแสดงออกถึงการปลอบประโลมใจ และความเข้าใจอย่างดียิ่ง
“ตาจะไม่พูดหรอก คิทตี้”
เธอเบือนหน้ามามองเขา แววทระนงฉายชัดอยู่บนใบหน้า ซึ่งสำแดงออกถึงความไม่รู้สึกยินดียินร้ายเท่าไรนัก
“ฝากความปรารถนาดีไปให้เขาด้วยก็แล้วกัน”
หลังจากที่ประตูบ้านด้านหลังปิดตามเนท บอนเนอร์ลง คิทก็มีความรู้สึกว่าอาการสงบสำรวมที่เธอแสดงออกมาตลอดเสื่อมคลายลง บังเกิดความสะเทือนใจขึ้นมาอย่างรุนแรงแม้ว่าเธอจะพยายามปฏิเสธมาตลอด แต่จริงๆ แล้ว เธอก็คือผู้หญิงคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความอ่อนไหว รู้จักความตระหนกตื่นกลัว ดังนั้น มันจึงเป็นการจำเป็นอย่างยิ่งที่เธอจะต้องแสดงความจองหอง ไม่แยแสต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อเวลาเช้ามาถึง เกราะกำบังตนที่เธอสร้างขึ้นก็กลับเข้าที่เข้าทางเช่นเดิมอีกครั้ง และดูเหมือนมันจะหนาแน่นกว่าที่เคยเป็นมาเสียด้วยซ้ำ แม่วัวที่ให้น้ำนมยังคงให้อาหารสนองความต้องการของทุกคนอยู่ และบัดนี้ น้ำนมของมันก็ถูกเก็บไว้ในตู้เย็นเรียบร้อยแล้ว
คิทลุกขึ้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าชุดเดิม หมวกปีกกว้างที่เคยสวมใส่อยู่ เสื้อเชิ้ตแบบผู้ชายกางเกงยีนส์เก่าๆ และสวมรองเท้าบู๊ท กำลังจะเดินกลับไปที่คอกม้า แต่แล้ว ก็เหลือบมองเห็นลิวในเครื่องแต่งตัวชุดที่พร้อมจะเข้าเมือง คือเสื้อเชิ้ตลายพิมพ์ กางเกงผ้าฝ้าย ซึ่งกำลังเดินมุ่งหน้าไปทางรถปิคอัพทำให้เธอต้องเปลี่ยนใจ
“นั่นจะไปไหนน่ะ ลิว?” เธอถามเสียงเครียด “เอ๊ะ..ก็เมื่อวานนี้ฉันสั่งให้ลุงไปเปลี่ยนเสาเสียใหม่ตอนเช้านี้ไงล่ะ”
“ก็จริงอยู่หรอก แต่ท่านบารอนขอร้องฉันให้พาเข้าเมืองน่ะ” เขาเหลือบตามองไปทางบ้านใหญ่ประกอบคำอธิบาย
ดวงตาของเธอฉายแววขุ่นเขียวขึ้นมาทันที
“ฉันไม่สนใจหรอกว่า นายบารอนคนนั้นจะต้องการอะไร?” คิทร้อนผ่าวไปทั้งตัว “ลุงไปทำตามที่ฉันสั่งดีกว่า”
“อย่ามาทำผยองใส่ฉันหน่อยเลยน่า คิทตี้ บอนเนอร์” ลิวตัวแข็งขึ้นมาทันที “แล้วก็อย่าแกล้งทำเป็นลืมด้วยว่าฉันเห็นแกมาตั้งแต่แกยังเป็นเด็กทารกด้วย”
“และลุงเองก็อย่าลืมด้วยว่าฉันเป็นนายที่สามารถจะออกคำสั่งได้” เธอสวนออกไปทันที “ในที่นี้ฉันเท่านั้นที่เป็นคนออกคำสั่ง”
“อันที่จริงผมก็มีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่งนะ” เสียงทุ่มๆ เอ่ยขึ้นทางเบื้องหลัง ซึ่งทำให้คิทหันขวับไปมองทันที “ว่าในฐานะที่ผมเป็นเจ้าของ ผมก็สามารถที่จะมีปากมีเสียงในที่นี้บ้าง”
รีส ทัลบอท กำลังเผชิญหน้าอยู่กับเธอ รอยยิ้มเย็นๆฉาบอยู่บนริมฝีปาก ดวงตาเครียดเขม็ง คิทไม่ได้ยินเสียงเดินของเขาตอนที่เดินใกล้เข้ามา ดังนั้น เมื่อเห็นเขาเข้ามายืนอยู่ในระยะใกล้ จึงทำให้เธอออกจะรู้สึกแปลกใจอยู่มากความสูงของเรือนร่างข่มเธออยู่ รวมไปถึงไหล่กว้างๆ นั่น ท่าทางของเขาไม่ได้หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยเมื่อเข้ามาขวางทางเธอไว้แต่ทว่า ความเหนือกว่าด้วยรูปร่างเรือนกายนั้น ออกจะเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์ในเมื่อจะต้องต่อสู้กับคนที่เอาเปลือกแห่งความแข็งกร้าวมาหุ้มห่อตัวไว้เช่นคิท
“ก็จริงอยู่หรอก ว่าคุณสมควรจะต้องพูดอะไรได้บ้างในสถานที่นี้” การยอมรับอย่างไม่ใคร่จะเต็มใจนักเป็นไปอย่างห้วนๆ “แต่ฉันก็อยากจะบอกให้คุณรู้ว่าอย่าได้มาทำ เป็นอวดฉลาดออกคำสั่งที่นี่ในขณะที่คุณยังไม่รู้ว่าอะไรมันเป็นอะไรจะเป็นการดีที่สุด รั้วตรงแนวถนนนั่นจำเป็นที่จะ ต้องได้รับการซ่อมแซม และฉันก็จะไม่ยอมให้คนงานคนหนึ่งของฉันจะต้องมาสูญเสียเวลาอันมีค่าในการทำงานไปด้วยการไปยืนแอ๊คดื่มเบียร์อยู่ในบาร์ เพื่อรอเวลารับคุณกลับมาที่ไร่หรอก”
“คนงานของคุณ...ยังงั้นรึคุณบอนเนอร์?” น้ำเสียงที่สวนออกมา สำแดงความเป็นเจ้าของไร่แห่งนี้อย่างเปิดเผย
พื้นฐานที่จะอำนวยคำตอบให้แก่เธอเริ่มสั่นสะเทือนขึ้น และคิทก็เลือกที่จะไม่โต้แย้งในคำถามข้อนั้นด้วยการตวัดสายตาคมปลาบมองไปยังโคบาลสูงอายุที่กำลังยืนฟังอยู่
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดทำงานเสียสิ ลิว แล้วก็ออกไปซ่อมรั้วนั่นเสียให้เสร็จๆ” หลังจากนั้น เธอจึงได้ปรายตากลับมามองหน้ารีส ทัลบอท “แล้วรถของคุณมันเป็นอะไรไปล่ะ?”
“ยางมันแบน แล้วยางสำรองก็จำเป็นต้องเติมลม” รีส ทัลบอท อธิบายให้เธอฟังอย่างกระจ่างแจ้ง แต่ขณะเดียวกัน รอยยิ้มขันๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่สำแดงความเหนือกว่าอยู่ตลอดเวลา “พอผมพูดเรื่องนี้กับลิวเขาก็กำลังจะเอารถเข้าเมืองอยู่พอดี ก็เลยชวนผมให้นั่งรถไปด้วย”
คำตอบประโยคนั้นทำให้คิทต้องหันหน้าไปมองลิวอีกครั้ง
“แล้วลุงมีธุระอะไรถึงจะต้องเข้าเมืองด้วยล่ะ?” เธอถามเสียงเข้ม
ลิวขยับตัว ท่าทางของเขาไม่ได้บอกว่าสบายใจนัก
“ซอร์เรลล์เขากำลังบอกขายรถแทร็คเตอร์พร้อมอะไหล่อยู่คันหนึ่ง ฉันก็เลยคิดว่าจะเข้าไปดูสิว่า ไอ้อะไหล่ที่เขาขายน่ะ มันพอจะเอามาเปลี่ยนใช้กับเจ้า เอช. ของเราได้บ้างไหม แล้วบ้านมันก็อยู่ห่างตัวเมืองสักแค่ไมล์เดียวเท่านั้นฉันก็เลยเห็นว่ามันไม่เป็นการจำเป็นที่จะต้องขับรถกลับไปกลับมาถึงสองเที่ยว ในเมื่อก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว”
“อ๋อ...คิดเอาเองยังงั้นเรอะ?” คิทย้อนถามอย่างยิ่งโกรธ“ก็แล้วเรื่องรั้วล่ะจะว่ายังไง?”
“ก็ตั้งใจไว้ว่า ตอนบ่ายจะกลับมาซ่อม”
“หลังจากที่เอาเวลาช่วงเช้าไปเสียเปล่า... โดยไร้ประโยชน์ในเมืองแล้วงั้นสิ”
“เอาอย่างนี้ ฉันคิดว่าแกไปซ่อมรั้วเสียเถอะลิว” รีสทัลบอท เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงค่อนข้างชาเย็น “ฉันว่าคุณบอนเนอร์เขาคงจะพาฉันเข้าเมืองพร้อมกับไปดูเรื่องอะไหล่รถนั่นได้เองแหละ”
“ครับผม” ลิวผงกศีรษะทันทีอย่างเห็นด้วยพร้อมกับผละจากไป ดูเหมือนเขาจะเต็มใจรับคำสั่งจากเจ้านายคนใหม่พอๆ กับที่แสดงความไม่สนใจในคำสั่งของคิท
ความพลุ่งพล่านบังเกิดขึ้นจากการที่บุรุษผู้ยืนอยู่ตรงหน้าได้สำแดงความมีอำนาจออกมา และขณะนี้ เขายังออกคำสั่งให้เธอให้บริการกับเขาในฐานะคนขับรถ ซึ่งคิทไม่ได้เต็มใจเลยอีกด้วย คิทเกือบจะพลั้งปากพูดออกไปแล้ว
เช่นที่ได้พูดเมื่อคืนนี้ว่าเธอไม่ได้เป็นทั้งแม่บ้านและแม่ครัวของใคร และก็ไม่ใช่คนขับรถของใครอีกด้วย เพียงแต่ว่าเธอไม่ทันจะมีโอกาสพูดเท่านั้น
“ผมมีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่งนะ คุณบอนเนอร์...” แววในดวงตาของเขาไม่ได้บอกว่าล้อเล่นเลย “ว่าตาของคุณ คือผู้จัดการไร่แห่งนี้ และเขาจะต้องเป็นคนเดียวที่ออกคำสั่งได้ไม่ใช่คุณ”
พื้นดินที่เหยียบอยู่ใต้ฝ่าเท้าดูจะสะท้านไหวขึ้นมาทันที มันเป็นสิ่งหนึ่งที่คิทรู้อยู่แก่ใจมาตลอดว่า นับแต่วันที่สูญเสียภรรยาไป เนทก็หมดความสนอกสนใจในเรื่องไร่แห่งนี้ลงปล่อยปละละเลยงานทุกอย่างในหน้าที่ แต่นั่นมันเป็นสิ่งที่รีสทัลบอท ไม่สมควรจะต้องรับรู้ด้วยเป็นอย่างยิ่ง ความจงรักภักดีที่มีต่อตา ทำให้เธอรีบกล่าวคำปกป้องออกไป
“ก็ใช่น่ะสิ” เธอรีบกล่าวแก้ทันที “ก็ฉันรับคำสั่งมาจากเขาไงล่ะ”
“ผมเข้าใจ” รีสพูดเสียงเบา แต่คิทก็มองเห็นอยู่ว่าเขาไม่ได้เข้าใจจริงๆ อย่างที่พูดออกมาเลย “แล้วเช้าวันนี้คุณมีอะไรจำเป็นที่จะต้องทำหรือเปล่าล่ะ พอที่จะขับรถเข้าเมืองได้ไหม?”
การตัดสินใจของเธอเป็นไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
“ฉันขับรถพาคุณเข้าเมืองก็ได้”
“ดี” รีสก้มลงมองนาฬิกาข้อมือเรือนทองคำ ซึ่งสวมติดอยู่บนข้อมือสีน้ำตาลคล้ำ ถ้าผมให้เวลาสักสิบนาทีคุณพอจะเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวทันไหมล่ะ?”
“ฉันแต่งของฉันอย่างนี้ได้ไม่เป็นอะไรหรอก เธอตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เครื่องแต่งตัวชุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของอาวุธ และเป็นเกราะที่ใช้ป้องกันตัว ช่วยปกป้องเธอไว้ให้ห่างจากคนอื่น และนั่นเป็นสิ่งที่คิทต้องการอย่างที่สุด
“ทำไม ฉันจะต้องเปลี่ยนด้วยล่ะ?”
มุมปากของเขาหยักขึ้นเป็นรอยยิ้ม ขณะที่กวาดสายตามองเสื้อผ้าแบบผู้ชายที่เธอสวมอยู่ มันไร้รูปร่างอย่างที่สุด “ไม่เปลี่ยนจริงๆ น่ะหรือ?”
“ถ้าคุณพร้อมที่จะไป ฉันก็พร้อมแล้วละ” คิทตอบเสียงสะบัด
เขาผายมือไปทางรถปิคอัพที่จอดอยู่ห่างออกไปไม่กี่ฟุต เป็นสัญญาณว่าเขาเองก็พร้อมแล้วเช่นกัน คิทเดินตรงไปยังที่นั่งด้านคนขับ โดยมีเขาเดินตามมา ประสาทในเรือนกายตึงเครียดขึ้น เมื่อนึกถึงว่าตัวเองเป็นผู้ตัดสินใจในการที่จะเสียเวลาช่วงเช้าที่ดีที่สุดไปเป็นเพื่อนเขา มันไม่ใช่การกระทำที่ฉลาดเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามที่เธอมีความรู้สึกต่อต้านเขาอยู่เช่นนี้ หรืออย่างน้อยก็ไม่เห็นด้วยกับการมาเยือนของเขา
ทันทีที่รีส ทัลบอท ปีนขึ้นไปนั่งบนรถ คิทก็สตาร์ทเครื่องเข้าเกียร์ ปิคอัพกระโจนออกวิ่งไปตามเส้นทางที่ขรุขระสปริงดังลั่นไปทั้งคันเหมือนจะร้องอุทธรณ์กับการ ขับอย่างผาดโผนนั้น คิทรู้ดีว่า ถ้าเธอจะลดความเร็วลง มันก็อาจจะไม่กระแทกกระทั้นถึงขนาดนี้ แต่เธอก็จะไม่ยอมทำอย่างเด็ดขาด
“ทำไมถึงไม่มีการเกรดถนนให้มันเรียบกว่านี้ล่ะ?” รีสเอ่ยถามขึ้น ท่าทางของเขาไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรเลย
“ไม่จำเป็นนี่...ต้องรอให้ถึงฤดูร้อนเสียก่อน” คิทกระชับฝ่ามืออยู่กับพวงมาลัย เพื่อไม่ให้มันหลุดจากมือ
“แถบนี้ที่จริงฝนมันตกไม่มากเท่าไหร่นักหรอก แต่พายุฝนตอนต้นฤดูใบไม้ผลินั่นถ้ามามันก็หนักมาก” เธอตอบไปตามความจริง “มันกระหน่ำเสียจนถนนพังหมด”